โดย: Candyx

สงสัยไหม น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา คือสิ่งเดียวกันจริงหรือ?

หาคำตอบที่หลาย ๆ คนสงสัย ...

6 ตุลาคม 2558 · · อ่าน (33,802)
306

SHARES


306 shares

Dogilike.com :: สงสัยไหม น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา คือสิ่งเดียวกันจริงหรือ?
 

     หากพูดถึงวิธีการบำรุงร่างกายน้องหมา นอกจากการพาน้องหมาไปออกกำลังกาย เจ้าของน้องหมาหลาย ๆ คนก็มักจะสรรหาวิตามิน อาหารเสริมซึ่งเป็นที่นิยมให้หมู่เจ้าของมาบำรุงให้กับน้องหมา ซึ่งวิตามิน อาหารเสริมหลัก ๆ ที่นำมาบำรุงน้องหมาก็หนีไม่พ้น แคลเซียม น้ำมันปลา น้ำมันตับปลา เพื่อหวังให้น้องหมาของตัวเองมีสุขภาพดี ...

      แต่ถ้าพูดถึง "น้ำมันปลา" และ "น้ำมันตับปลา" แล้วหลาย ๆ คงจะเกิดความสงสัยและสับสนว่า น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นตัวเดียวกันหรือไม่ มีสรรพคุณและประโยชน์อย่างไร และมีโทษ หรือผลเสียอะไรไหม

     เทคนิคการเลี้ยงการดูแล วันนี้ ปังปอนด์ก็เลยอยากจะนำเรื่องราวของน้ำมันปลา และน้ำมันตับปลา มาฝากเพื่อน ๆ เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ก่อนนำน้ำมันเหล่านี้มาบำรุงน้องหมากันค่ะ



น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา แตกต่างกันหรือไม่?


     เป็นคำถามที่คนรักน้องหมาหลาย ๆ คนยังคงสงสัยกันมาตลอดว่า น้ำมันปลา และน้ำมันตับปลา เป็นตัวเดียวกันหรือเปล่า และถ้าหากแตกต่างนั้น แตกต่างกันอย่างไร?

     ซึ่งต้องขอตอบเลยค่ะว่า น้ำมันปลา และน้ำมันตับปลา ทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกัน ดังนั้น เจ้าของน้องหมาจึงต้องทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลของน้ำมันปลา และน้ำมันตับปลาก่อนที่จะให้น้องหมากิน โดยเรามาดูตัวแรกกันก่อนเลยก็คือ น้ำมันปลา ค่ะ

 

น้ำมันปลา (Fish Oil)

 

Dogilike.com :: สงสัยไหม น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา คือสิ่งเดียวกันจริงหรือ?


     เป็นน้ำมันที่ได้จากเนื้อ หนัง หัว หางของปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแม็กเคอเร็ล (mackerel) ปลาฮาลิบัท (halibut) ปลาเฮลิง (herring) ฯ โดยในน้ำมันปลาจะอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายมนุษย์ หรือสัตว์ไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega 3) คือ กรดดีโคซาเฮกซาอีโนอิก หรือ DHA ( Decoxahexaenoic Acid ) กับ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก หรือ EPA ( Eicosapentaenoic Acid ) เป็นหลักค่ะ


ข้อดีของน้ำมันปลาต่อน้องหมา


     น้ำมันปลา ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega 3) คือ กรดดีโคซาเฮกซาอีโนอิก หรือ DHA ( Decoxahexaenoic Acid ) กับ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก หรือ EPA ( Eicosapentaenoic Acid ) เป็นหลัก จะมีผลต่อการหลั่งสารกลุ่มโพรสตาแกลนดิน  ( สารกลุ่มที่จะทำให้เกิดการอักเสบ ) สัตวแพทย์จึงมักจ่ายน้ำมันปลา โดยอาศัยคุณสมบัติของการลดการอักเสบให้ในน้องหมาและแมว เพื่อใช้ควบคุมของอาการภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเรื่องของโรคผิวหนัง ซึ่งน้ำมันปลาจะสามารถเสริมฤทธิ์ได้เป็นอย่างดีเมื่อทานร่วมกับยาลดการแพ้ ( antihistamine ) ทำให้ช่วยลดภาวะการคันที่เกิดการอักเสบที่ผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยน้องหมาสามารถกินน้ำมันปลาติดต่อกันได้เป็นระยะเวลาเป็นเดือน ควบคู่กับการใช้แชมพูยารักษาผิวหนังในน้องหมา หรือตามที่สัตวแพทย์แนะนำค่ะ

     นอกจากนี้ น้ำมันปลายังช่วยทำให้เกิดการสมดุลย์ของการทำงานของอวัยวะสำคัญในรางกายของน้องหมา โดยน้ำมันปลาจะมีประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับน้องหมา ดังนี้

- มีประโยชน์ช่วยบำรุงสมองทั้งในลูกสุนัข และป้องกันสมองเสื่อมในน้องหมาสูงวัย

- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังของน้องหมาทุกช่วงวัย

- ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบในน้องหมา เนื่องจาก กับ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก หรือ EPA ในน้ำมันปลา
สามารถลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และจากการศึกษาในปี 1990 พบว่าการให้น้ำมันปลาแก่น้องหมาจะทำให้การรักษาโรคข้อสะโพกอักเสบในน้องหมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

- ช่วยลดอาการคันของโรคผิวหนังในน้องหมา ลดอาการอักเสบทางผิวหนัง และสามารถลดการเสียน้ำทางผิวหนังได้ถึง 60% ซึ่งสัตวแพทย์ทางด้านผิวหนังจะใช้น้ำมันปลาในการควบคุมโรคผิวหนังในระยะยาว

- ช่วยลดความผิดปกติของดวงตา ในน้องหมาสายพันธุ์พูเดิ้ล ที่มักมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของตัวรับแสง

- ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในน้องหมา


ผลข้างเคียงของน้ำมันปลาต่อน้องหมา


     หากให้น้องหมากินน้ำมันปลาในปริมาณมากจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกได้ง่าย เนื่องจาก โอเมก้า3 ในน้ำมันปลามีคุณสมบัติในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดมีความใสและหยุดไหลได้ช้าลง ดังนั้น อาจต้องระมัดระวังการกินน้ำมันปลาในน้องหมาที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก เช่น น้องหมาสูงวัย น้องหมาที่มีการบาดเจ็บ เลือดออก

     หากน้องหมาต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานน้ำมันปลาก่อนถึงวันผ่าตัดอย่างน้อย 20 วัน เพื่อร่างกายจะได้สร้างเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ และป้องกันอาการเลือดไหลไม่หยุดหรือออกมามากกว่าปกติ รวมถึงก่อนการรักษาหรือผ่าตัด ควรแจ้งสัตวแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดให้ทราบว่า ได้ให้น้องหมากินน้ำมันปลาอยู่ด้วย

         ในน้ำมันปลาที่ไม่ได้คุณภาพ อาจมีสารพิษตกค้างอยู่ในน้ำมันปลาที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของน้องหมาได้ เพราะในปัจจุบันบางน่านน้ำทะเลจะมีสารพิษตกค้างอยู่ในปริมาณสูง ปลาทะเลที่ถูกจับมาก็อาจจะมีการปนเปื้อนของสารพิษต่าง ๆ เช่น Dioxin, Methyl mercury และ polychlorinated biphenyl หากเจ้าของให้ลูกสุนัขหรือแม่หมาตั้งครรภ์กินน้ำมันปลาก็อาจจะส่งผลให้เกิดการสะสมของสารพิษเหล่านี้ ทำให้มีปัญหาต่อสุขภาพร่างกายได้เช่นกันค่ะ


ปริมาณการให้น้ำมันปลากับน้องหมา


     ปริมาณการให้น้ำมันปลาที่เหมาะสมกับน้องหมาขึ้นอยู่กับสุขภาพและความต้องการของน้องหมาแต่ละตัวค่ะ แต่โดยปกติแล้วน้องหมาที่มีสุขภาพดี ผู้เลี้ยงสามารถให้น้ำมันปลากับน้องหมาได้ 100-150 มิลลิกรัม ต่อน้องหมาที่มีน้ำหนักตัว 4.5 กิโลกรัม แต่ในน้องหมาที่มีปัญหาสุขภาพควรได้รับน้ำมันปลา 300 มิลลิกรัม ต่อน้องหมาที่มีน้ำหนักตัว 4.5 กิโลกรัม หรือขึ้นอยู่ตามสัตวแพทย์แนะนำค่ะ


ข้อควรระวังของน้ำมันปลา


     น้ำมันปลาที่คงคุณภาพที่ดีจะต้องถูกเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดแน่นหนา และถูกปกป้องจากความร้อน แสงและอากาศ ดังนั้น เจ้าของที่ซื้อน้ำมันปลามาเพื่อบำรุงน้องหมาก็ควรเก็บรักษาขวดน้ำมันปลาไว้ในตู้เย็นเสมอ และควรใช้น้ำมันปลาให้หมดภายในหนึ่งถึงสองเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความชื้นและกลิ่นเห็นหืน หากพบน้ำมันปลามีความชื้นหรือกลิ่นเหม็นหืนก็ควรนำไปทิ้งทันที เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของน้องหมาด้วยนะคะ

 

น้ำมันตับปลา

 

Dogilike.com :: สงสัยไหม น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา คือสิ่งเดียวกันจริงหรือ?

 

     น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) เป็นน้ำมันที่ได้จากตับปลาทะเล เช่น ปลาคอด (Cod) ปลาฮาลิบัท (halibut) ปลาเฮลิง (herring) ฯ โดยน้ำมันตับปลาจะมีสิ่งที่ต่างกันกับน้ำมันปลา คือ ในน้ำมันตับปลาจะมี วิตามิน A และ D เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย ในขณะที่น้ำมันปลาจะไม่มีวิตามินทั้งสองชนิดเป็นส่วนประกอบ


ข้อดีของน้ำมันตับปลา


      สำหรับ น้ำมันตับปลา ในมนุษย์มักจะนิยมรับประทานเพื่อช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน กระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัว แต่สำหรับน้องหมาเจ้าของจะนิยมให้น้ำมันตับปลาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพน้องหมาให้แข็งแรงเพิ่มมากขึ้น ดังนี้

-    ช่วยบำรุงประสาท

-    ช่วยบำรุงสายตา

-    ปรับสมดุลผิวหนังเเละบำรุงขน  

-    วิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่ดีขึ้น

-    ฟอสฟอรัส ทำให้การสร้างกระดูกของน้องหมาเป็นไปอย่างปกติ

-    ช่วยบำรุงน้องหมาที่กำลังตั้งครรภ์


ผลข้างเคียงของน้ำมันตับปลาต่อน้องหมา


     น้ำมันตับปลา ส่วนใหญ่จะมีปริมาณวิตามิน เอ และดี ในปริมาณที่สูง หากน้องหมาได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้มากเกินไป ก็จะเกิดพิษจากการสะสมวิตามินดี และวิตามินเอเกินความจำเป็น หรือที่เรียกว่า เกิดภาวะไฮเพอร์วิตามิโนซิส (Hypervitaminosis) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายได้รับวิตามินชนิดหนึ่งชนิดใด หรือหลายชนิดมากเกินไป จนอาจทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย โดยมากจะเป็นวิตามินจำพวกที่ละลายในไขมัน คือ วิตามิน เอ ดี อี และ เค และจะทำให้มีการสะสมและเพิ่มระดับวิตามินในเลือด จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระดับวิตามินที่สูงมากได้

     ซึ่งข้อเสียของการได้รับน้ำมันตับปลามากเกินไป ได้แก่ มีผลต่อระบบประสาทของน้องหมา ทำให้ตับถูกทำลาย ปัสสาวะบ่อย และอาจทำให้ขนร่วง ผิวแห้งได้ และหากได้รับ วิตามินดีสะสมหรือตกค้างในร่างกายมากจนเกินไป ก็อาจจะมีผลเสียต่อระบบเลือด และอาจทำให้ไตวายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงไม่แนะนำให้เจ้าของให้น้องหมากินน้ำมันตับปลาเป็นประจำและในปริมาณที่มากเกินไป และควรอยู่ในการควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ ไม่ควรหาซื้อน้ำมันตับปลามาให้น้องหมากินเองค่ะ


ปริมาณการให้น้ำมันตับปลากับน้องหมา


     ปริมาณการให้น้ำมันตับปลาที่เหมาะสมกับน้องหมาต้องให้ในปริมาณที่พอดี เนื่องจากน้องหมาแต่ละตัวจะมีความต้องการสารอาหาร และวิตามินต่าง ๆ ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แต่โดยมาตราฐานแล้วปริมาณการให้น้ำมันตับปลากับน้องหมาจะอยู่ตามเกณฑ์ ดังนี้

น้ำหนัก 0-9 กิโลกรัม จะให้น้ำมันตับปลาประมาณ ¼ ช้อนชา

น้ำหนัก 9 – 25 กิโลกรัม จะให้น้ำมันตับปลาประมาณ  1/2 ช้อนชา

น้ำหนัก มากกว่า 25 กิโลกรัม  จะให้น้ำมันตับปลาประมาณ 1 ช้อนชา



ข้อควรระวังของน้ำมันตับปลา


     อย่างที่รู้ว่า น้ำมันตับปลามีปริมาณวิตามิน เอ และวิตามิน ดี สูง จึงมีโอกาสที่จะถูกสะสมจนถึงระดับที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อให้น้องหมากินพร้อมกับยาอื่นที่มีวิตามิน เอ และหรือวิตามิน ดี ร่วมอยู่ด้วย

     ดังนั้น การที่ผู้เลี้ยงจะให้น้องหมากินน้ำมันตับปลาที่อยู่ในรูปยาหรือวิตามินเสริม ก็ควรศึกษาข้อมูล ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยควรให้สัตวแพทย์เป็นผู้พิจารณาทั้งปริมาณและระยะเวลา ความยาวนานที่จะให้น้องหมากินค่ะ

     และการดูแลน้ำมันตับปลาให้คงคุณภาพที่ดี ก็ควรเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดแน่นหนา และถูกปกป้องจากความร้อน แสงและอากาศ หากพบน้ำมันตับปลามีความชื้นหรือกลิ่นเหม็นหืนก็ควรนำไปทิ้งทันทีด้วยนะคะ

 

Dogilike.com :: สงสัยไหม น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา คือสิ่งเดียวกันจริงหรือ?



     จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ทั้งน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาต่างก็มีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องใส่ใจอีกหลาย ๆ ด้านเช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่เจ้าของจะให้อาหารเสริม หรือวิตามินใด ๆ ก็ตามกับน้องหมาก็ควรที่จะต้องศึกษาข้อมูลก่อน ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หรือผลข้างเคียงจากอาหารเสริมได้ดีที่สุดค่ะ


 

บทความโดย: Dogilike.com
http://www.dogilike.com/


ข้อมูลอ้างอิง :

http://www.dogsnaturallymagazine.com/fish-oil-omega-3-dogs-safe/
http://canigivemydog.com/cod-liver-oil
http://www.vet4polyclinic.com/th/article.aspx?id=117
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=1998
http://www.dog-swim.com/clinical-services/nutritional-supplements/fish-oil
http://www.whole-dog-journal.com/issues/15_9/features/Fish-Oil-Supplements-For-Dogs_20600-1.html
http://www.healthy-oil-planet.com/cod-liver-oil-for-dogs.html
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=1998
http://www.whole-dog-journal.com/issues/15_9/features/Fish-Oil-Supplements-For-Dogs_20600-1.html
http://www.petmd.com/blogs/thedailyvet/ktudor/2013/aug/the-dangers-of-too-much-fish-oil-30731

ภาพประกอบจาก :

https://www.flickr.com/photos/healthgauge/11632124235/

https://www.flickr.com/photos/healthgauge/11632212684/

https://www.flickr.com/photos/thriftyuk/7501493294/