เมื่อสัปดาห์ก่อนปังปอนด์ได้พูดถึงเรื่องการทำความเข้าใจพฤติกรรมน้องหมาที่เปลี่ยนไป รวมถึงเคล็ดลับการจัดการปัญหา และการเตรียมตัวเมื่อต้องพาน้องหมาย้ายบ้านใหม่ กับบทความ รับมือปัญหาก่อนพาน้องหมาย้ายบ้านใหม่ ไปแล้ว ในสัปดาห์นี้ปังปอนด์ก็เลยเอาเรื่องราวน่ารู้ในมุมของการเตรียมการรับมือปัญหาเมื่อน้องหมาต้องเปลี่ยนเจ้าของใหม่ มาฝากสำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการรับน้องหมาตัวใหม่มาเลี้ยงกันค่ะ

     และถ้าเพื่อนๆ คือ “เจ้าของใหม่” ที่กำลังจะรับน้องหมาเด็ก น้องหมาหมาโตจากศูนย์พักพิงสัตว์ หรือน้องหมาจากคนรู้จักมาเลี้ยงต่อ ก็ไม่ควรพลาดที่จะอ่านบทความนี้เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือในการเลี้ยงน้องหมาที่ต้องเปลี่ยนเจ้าของค่ะ
 

คำถามคาใจ ... เมื่อน้องหมาเปลี่ยนเจ้าของ แล้วเขาจะรักเจ้าของใหม่หรือเปล่า?
 

 
     จากที่ปังปอนด์ได้ทำการบ้านมา ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของใหม่ที่รับน้องหมาเด็ก น้องหมาโตมาเลี้ยงส่วนมากมักจะตั้งคำถามว่า “น้องหมาที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของ เขาจะสามารถรักเจ้าของใหม่ได้หรือไม่?” “น้องหมาเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์เมื่อเขารักใครแล้ว เขาก็จะรักไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจริงหรือ?” คำถามเหล่านี้เป็นคำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นและค้างคาใจของเจ้าของใหม่ ซึ่งต้องขอตอบเพื่อนๆ ไว้เลยค่ะว่า สำหรับน้องหมาเด็กที่อายุเพียงไม่กี่เดือน ส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและเข้ากับเจ้าของใหม่ได้ง่ายมากๆ เพราะเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้และกำลังสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว

     แต่สำหรับน้องหมาโตก็อาจมีปัญหาเรื่องนิสัยและพฤติกรรมต่างๆ ที่มีติดตัวมาซึ่งเจ้าของคนใหม่ต้องคอยช่วยเหลือและปรับปรุงแก้ไข ส่วนเรื่องรักเจ้าของ น้องหมาเขาสามารถยอมรับและรักเจ้าของคนใหม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องหมาเขาจะสามารถลืมเจ้าของคนเก่าได้ลงนะคะ และจริงอยู่ที่น้องหมาเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์รักเจ้าของไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเจ้าของใหม่รักและมอบความอบอุ่นให้เขาจริงๆ น้องหมาก็จะสามารถรับรู้และสัมผัสได้ และรักเจ้าของคนใหม่ได้เหมือนกันค่ะ
 

 
     เพราะโดยธรรมชาติน้องหมาแล้ว มักจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายที่อยู่ใหม่ หรือการเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนเจ้าของใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจในตัวน้องหมาเป็นอย่างมากในการที่จะศึกษาถึงนิสัยต่างๆ ของน้องหมา รวมไปถึงสร้างความคุ้นเคยและค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาน้องหมา สร้างความมั่นใจ ให้น้องหมารู้สึกว่าเขาอยู่กับเราแล้วปลอดภัย ซึ่งน้องหมาก็จะสามารถรับรู้และรักเจ้าของใหม่ได้ในที่สุด ดีไม่ดีน้องหมาอาจจะรักเจ้าของใหม่มากกว่าเจ้าของเดิมก็ได้นะคะ ^^”

     ฉะนั้น เราจึงต้องทำการศึกษาและเรียนรู้น้องหมา เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจะได้ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง และเพื่อให้น้องหมายอมรับในตัวผู้เลี้ยงหรือเจ้าของคนใหม่ให้ได้ค่ะ โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนึ้ค่ะ


1.ศึกษาประวัติน้องหมาในอดีต
 

 
     การศึกษาประวัติความเป็นมาของน้องหมาในอดีตถือเป็นประตูด่านแรกที่ผู้เลี้ยงต้องทำการบ้านค่ะ เพราะไม่ว่าน้องหมาที่เรารับมาเลี้ยงจะเป็นน้องหมาเด็กอายุไม่กี่เดือน หรือหมาโต การศึกษาข้อมูลประวัติความเป็นมาจากเจ้าของเดิมหรือศูนย์พักพิงสัตว์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้เลี้ยงไม่ควรมองข้ามเพราะจะทำให้ผู้เลี้ยงทราบในเบื้องต้นว่า น้องหมามีอุปนิสัยใจคอ และพฤติกรรมเป็นอย่างไร และควรศึกษาว่า ในอดีตน้องหมาเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ อะไรมาบ้างหรือเปล่า เช่น เคยถูกทารุณโดยมนุษย์ หรือโดนน้องหมาตัวอื่นรังแกก่อนจะมาอยู่กับผู้เลี้ยงหรือเปล่า  เพราะหากน้องหมาเคยผ่านประสบการณ์ร้ายๆ มาน้องหมาก็อาจจะไม่วางใจคนแปลกหน้าหรือน้องหมาตัวอื่นๆ ซึ่งผู้เลี้ยงก็ต้องพยายามปรับตัวเข้าหาน้องหมา ให้น้องหมาไว้วางใจและยอมรับผู้เลี้ยงให้ได้
 

 
     นอกจากนี้ผู้เลี้ยงควรศึกษาเรื่องโรคประจำตัว โรคประจำสายพันธุ์ว่ามีอะไรต้องควรระวังหรือไม่ รวมถึงเรื่องอาหารการกิน ผู้เลี้ยงต้องสอบถามให้แน่ใจว่าก่อนหน้านี้น้องหมากินอาหารประเภทไหนมาก่อน เพราะหากผู้เลี้ยงเปลี่ยนชนิดอาหารให้น้องหมาในทันทัจะมีผลต่อสมดุลของแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร ทำให้น้องหมาเกิดภาวะถ่ายเหลว ท้องเสีย หรือไม่ยอมกินอาหารจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ แต่หากผู้เลี้ยงต้องการเปลี่ยนชนิดอาหารให้น้องหมาตัวใหม่ แนะนำว่า ผู้เลี้ยงจะต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนชนิดอาหารหลังจากที่น้องหมาไว้ใจผู้เลี้ยงและหายตื่นกลัวแล้วจะดีที่สุด โดยใช้หลักการเดียวกันกับการเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัขคือ  เริ่มจากการผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารชนิดเดิม 75% หลังจาก 3-5 วัน จึงผสมอาหารเก่าและอาหารใหม่เป็นครึ่งต่อครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%ในช่วงวันที่ 6-10 และวันต่อไปจึงเป็นอาหารใหม่ 100% ค่ะ  … การศึกษาทำความเข้าใจน้องหมาเป็นก้าวแรกที่จะให้เกิดความเข้าใจกันและกัน และเกิดการสื่อสารที่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทีดีระหว่างผู้เลี้ยงและน้องหมานั่นเองค่ะ  (อ่านเพิ่มเติมบทความ ถึงเวลาทำความเข้าใจ "ความรู้สึกน้องหมา" อย่างถูกต้อง)



2. ระยะแรกต้องมีระยะห่าง
 

 
     ในวันแรกหรือระยะแรกๆ ที่รับน้องหมามาเลี้ยง น้องหมามักจะไม่ค่อยไว้ใจเจ้าของใหม่หรือเกิดอาการตื่นคนขึ้น ดังนั้น การเว้นระยะห่างระหว่างผู้เลี้ยงและน้องหมาจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจ  ในช่วงแรกผู้เลี้ยง ไม่ควรเข้าไปจู่โจมหรือเล่นกับน้องหมาในทันที ควรปล่อยให้น้องหมาอยู่ในพื้นที่ของตัวเองสักพัก (พื้นที่ที่ผู้เลี้ยงจัดเตรียมไว้ให้) เพื่อให้น้องหมาแน่ใจว่า ผู้เลี้ยงและบ้านหลังใหม่ไม่เป็นอันตรายกับตัวน้องหมา โดยในช่วงวันแรกผู้เลี้ยงอาจจะนำน้ำดื่มสะอาดและอาหารไปวางให้น้องหมา แล้วค่อยๆ เดินออกมาและคอยสังเกตดูห่างๆ ว่าน้องหมากินน้ำและอาหารที่เรานำไปวางไว้ให้หรือไม่เพราะในช่วงเวลาที่น้องหมาอยู่เพียงลำพัง น้องหมาจะเริ่มสังเกตและประเมินสภาพแวดล้อม หากน้องหมาเห็นว่าปลอดภัย น้องหมาก็จะเริ่มกินน้ำและอาหาร ซึ่งนั่นหมายถึงว่าน้องหมาเริ่มผ่อนคลายความเครียดลงแล้วค่ะ

     ส่วนในวันถัดๆ ไปก็ให้ผู้เลี้ยงวางน้ำและอาหารให้น้องหมาเหมือนเดิม  แต่ในครั้งนี้ผู้เลี้ยงอาจจะนั่งอยู่นิ่งๆ โดยทิ้งระยะห่างจากน้องหมาพอสมควรเพื่อให้น้องหมาเริ่มปรับตัวและรับรู้ว่าผู้เลี้ยงไม่ได้เป็นอันตรายกับน้องหมา (ให้น้องหหมารรับรู้ว่าอยู่กับเราแล้วปลอดภัย) และอาจเพิ่มระยะเข้าไปนั่งนิ่งๆ ใกล้กับน้องหมาในวันต่อๆ ไป ซึ่งการทำแบบนี้ก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้น้องหมาเชื่อใจ และยอมรับผู้เลี้ยงได้ง่ายขึ้นค่ะ  ... ในช่วงระยะแรกผู้เลี้ยงต้องมีความอดทน และอาจจะต้องให้เวลากับน้องหมาเพื่อให้เขาเรียนรู้และปรับตัวกับสภาพแวดล้อม และสิ่งสำคัญคือผู้เลี้ยงอย่าลืมที่จะหาปลอกคอมาใส่ให้น้องหมา โดยปลอกคอควรมีการสลักชื่อ ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุ ในกรณีน้องหมาหลงหรือหนีออกจากบ้านด้วยนะคะ



3.ทำให้น้องหมายอมรับเราเป็นเจ้าของ

 

     การทำให้น้องหมายอมรับผู้เลี้ยงไม่ใช่เรื่องยาก แต่อาจจะต้องใช้เวลากันสักหน่อย โดยเฉพาะกับน้องหมาโตที่เพิ่งถูกเปลี่ยนมือมาเป็นน้องหมาของเรา โดยสิ่งแรกที่ผู้เลี้ยงต้องทำคือ ผู้เลี้ยงจะต้องเริ่มจากการปฏิบัติตัวให้เหมาะสม มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เรียนรู้และเข้าใจถึงกระบวนการคิดการสื่อสารของน้องหมา และเหนือสิ่งอื่นใดคือการทำให้น้องหมายอมรับเราเป็นเจ้าของ ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถทำได้โดยจะต้องรู้จักวางตัวให้เป็น "จ่าฝูง" และวางลำดับให้ฝูง (สมาชิกในครอบครัว) โดยให้น้องหมาอยู่ในระดับต่ำสุด การทำให้น้องหมายอมรับตัวของเจ้าของเป็นจ่าฝูงนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงใดๆ เพียงแต่ใช้หลักจิตวิทยาง่ายๆ ในการทำให้น้องหมายอมสยบและเชื่อฟังคำสั่ง เช่น ก่อนจะให้อาหารน้องหมา ผู้เลี้ยงและสมาชิกในบ้านจะต้องกินอาหารให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้น้องหมาเห็นว่า จ่าฝูงกินแล้ว ต่อไปถึงจะเป็นคิวที่ลูกฝูงกินได้ หรืออาจจะสร้างเงื่อนไข และดึงดูดความสนใจของน้องหมาด้วยการใช้อาหาร หรือขนมกลิ่นแรงๆ มาใช้ฝึกให้น้องหมาทำตามคำสั่งเพื่อให้น้องหมารู้ว่าเราคือ เจ้านายที่อยู่เหนือและมีอำนาจสามารถสั่งน้องหมาได้ค่ะ
 

 
     โดยธรรมชาติแล้วน้องหมาเป็นสัตว์สังคมที่อยู่รวมกันเป็นฝูง และสัตว์ตัวที่แข็งแรงที่สุดในฝูงก็จะได้รับการยอมรับให้เป็น "จ่าฝูง" ซึ่งจะทำหน้าที่คอยดูแลและควบคุมสมาชิกในฝูงที่อ่อนแอกว่า หากผู้เลี้ยงสามารถพิสูจน์ให้น้องหมาเห็นและยอมรับเราเป็นจ่าฝูงได้ น้องหมาก็จะเป็นน้องหมาที่น่ารัก ว่านอนสอนง่าย อีกทั้งยังทำให้สามารถเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เลี้ยงและน้องหมาได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ ทำอย่างไร!? ให้น้องหมายอมรับเราเป็นเจ้าของ  จิตวิทยาง่ายๆ ในการฝึกตนเองให้เป็น "จ่าฝูง" ของสุนัข )



4.ทำกิจกรรมร่วมกัน ... เคล็ดลับที่ทำให้น้องหมาหลงรักเจ้าของใหม่

 
     โดยปกติน้องหมาจะสามารถปรับตัวและยอมรับจ้าของคนใหม่ได้ในระยะเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ และเมื่อน้องหมายอมรับผู้เลี้ยงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างน้องหมาและผู้เลี้ยง รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวนั่นก็คือ การหากิจกรรมต่างๆ ทำร่วมกัน เช่น การเล่นเกมส์ การออกกำลังกาย  ที่จะช่วยทำให้ผู้เลี้ยงและน้องหมาเกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยช่วงแรกอาจจะเริ่มจากการใส่สายจูงให้น้องหมาแล้วพาเดินเล่นรอบบ้านก่อน โดยให้น้องหมาเดินอยู่ระนาบเดียวกับผู้เลี้ยงเพื่อเป็นการบอกและเตือนน้องหมาว่า เราคือจ่าฝูง อย่าปล่อยให้น้องหมาเดินนำหน้าเพราะการให้น้องหมาเดินนำหน้าจะหมายถึงการที่เราปล่อยให้น้องหมาเป็นผู้นำนั่นเองค่ะ ... ถ้าน้องหมาสอบผ่านก็พาน้องหมาออกไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะหรือจะเป็นการพาน้องหมาออกไปพบปะสังคมภายนอกเพื่อให้น้องหมารับรู้ว่าการอยู่กับผู้คนจำนวนมาก และสภาพแวดล้อมภายนอกไม่ได้เป็นอันตรายต่อน้องหมา  
 

 
     ผู้เลี้ยงควรทำแบ่งเวลาให้ความรักและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับน้องหมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกายและใจระหว่างผู้เลี้ยงและน้องหมา ทำให้น้องหมาเกิดความมั่นใจ และเกิดความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้นค่ะ  และนอกจากการพาน้องหมาไปออกกำลังกายจะช่วยทำให้น้องหมามีร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้น้องหมารู้สึกเหนื่อย สงบ จากการได้ปลดปล่อยพลังงาน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเริ่มฝึกวินัย และคำสั่งพื้นฐานต่างๆ อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ผู้เลี้ยงจะได้สร้างความสัมพันธ์กับน้องหมาให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ แบ่งเวลา ... เติมความรักให้น้องหมาอย่างถูกวิธี )
 

     การที่จะทำให้น้องหมายอมรับและรักเจ้าของคนใหม่ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ เพียงแค่เราต้องเรียนรู้นิสัย พฤติกรรม และส่งมอบความรักความรู้สึกดีๆ แสดงออกให้น้องหมาเห็นว่า เราใส่ใจและรักเขาจริงๆ  เพียงเท่านี้น้องหมาเขาก็จะรับรู้และยอมรับในตัวเราค่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมีแผนที่กำลังจะรับน้องหมาเด็ก น้องหมาโตมาเลี้ยงก็อย่าลืมทำตามขั้นตอนที่ปังปอนด์แนะนำนะคะ รับรองว่าเพื่อนๆ จะได้พบกับความรักที่ไม่มีสิ้นสุดจากเพื่อนแท้แสนซื่อสัตย์กันอย่างแน่นอนจ้า ^^”

 

ภาพประกอบ :
http://dogs.about.com/od/funphotos/ss/Ten-Reasons-Dogs-Are-Better-Than-Cats_4.html
http://www.telegraph.co.uk/health/dietandfitness/6666409/Average-dog-owner-gets-more-exercise-than-gym-goers.html
http://www.puplife.com/pages/new-dog-owner-tips
http://caninegoodcitizen.wordpress.com/2013/01/25/walking-your-dog-the-other-end-of-the-leash/
http://www.petside.com/article/dating-strategies-pet-owners
http://www.osoyoostimes.com/news/2012/06/27/osoyoos-pups-and-dogs-have-a-ball-as-off-leash-dog-park-opens/