เชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่เลี้ยงน้องหมาส่วนใหญ่ คงจะคุ้นเคยกับคำว่า “โรคประจำสายพันธุ์” เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโรคในน้องหมาสายพันธุ์เล็ก อย่างเช่น โรคสะบ้าเคลื่อน โรคข้อเข่าเสื่อม หรือโรคในน้องหมาสายพันธุ์ใหญ่ อย่างเช่น โรคข้อสะโพกเสื่อม เป็นต้น หลายคนอาจจะคิดว่าโรคประจำสายพันธุ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อน้องหมามีอายุมาก หรือมีน้ำหนักตัวมากเท่านั้น แต่ในความจริงแล้วโรคประจำสายพันธุ์นี้อาจเกิดขึ้นกับน้องหมาเมื่อไหร่ก็ได้!!

โรคประจำสายพันธุ์สามารถเกิดขึ้นกับน้องหมาได้ตั้งแต่พวกเขายังอายุไม่เยอะ บางครั้งน้องหมาอาจยังไม่แสดงอาการเจ็บป่วยออกมา ทำให้ผู้เลี้ยงไม่รู้ว่าพวกเขามีอาการผิดปกติและเมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ อาการเจ็บป่วยก็จะสะสม หากไม่ได้รับการรักษาก็จะส่งผลร้ายต่อน้องหมาได้ อย่างเช่น

เพื่อน ๆ หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะเกิดความกังวลขึ้นมาว่าน้องหมาของเราจะป่วยด้วยโรคข้อเสื่อมรึเปล่า ... เบื้องต้นสิ่งที่เจ้าของทุกคนทำได้ก็คือการสังเกตความผิดปกติของน้องหมาค่ะ น้องหมาที่มีปัญหาเรื่องข้อเสื่อมจะมีอาการเริ่มทรงตัวไม่ดี ยืนขาสั่น ร้องเวลาลุกหรือนั่ง นอนบนพื้นลำบาก เดินขาหลังปัดไปปัดมา ขึ้นลงบันไดไม่สะดวก กล้ามเนื้อลีบเพราะใช้ขาหลังได้น้อยลง...

นอกจากการหมั่นสังเกตความผิดปกติของน้องหมาแล้ว ในปัจจุบันโรคประจำสายพันธุ์เหล่านี้มีวิธีดูแลเพื่อป้องกันและชะลอความเสี่ยงในการเกิดโรคได้แล้วนะคะ โดยผู้เลี้ยงสามารถลดความเสี่ยงให้น้องหมาได้โดยการดูแลน้องหมาให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง เช่น ให้น้องหมาออกกำลังกายอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการให้น้องหมาออกกำลังกายที่ต้องกระโดด หรือได้รับแรงกระแทกมาก ๆ เลี่ยงการเดินบนพื้นที่มีความลื่น นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ด้วย อย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โคซีควิน เทสท์ เอชเอ ค่ะ

น้องสนูปี้ สายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน อายุ 4 ปี และน้องเจาเจา สายพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ อายุ 2 ปี” คู่พี่น้องต่างไซส์ ซึ่งสายพันธุ์ของทั้งคู่มีโรคประจำสายพันธุ์เกี่ยวกับโรคข้อเสื่อม อย่างน้องเจาเจาเคยมีปัญหาเรื่องข้อตอนอายุ 3 เดือน เพราะเจ้าของเก่าเลี้ยงอยู่ในคอนโด และด้วยความที่เป็นน้องหมาสายพันธุ์ใหญ่เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ทำให้ไม่มี พื้นที่ออกกำลังกายจึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับข้อได้ง่าย

เช่น ปูหญ้าเทียมบนพื้นกระเบื้องเพื่อกันลื่น พาออกกำลังกาย ทั้งเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ และพาไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ (โดยพาน้องสนูปี้ทำกิจกรรมด้วย คู่นี้จะอยู่ด้วยกันตลอด) ซึ่งคุณหมอก็ได้ให้คำแนะนำถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสม และแนะนำให้กินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมควบคู่ไปกับอาหารปกติตามน้ำหนักของน้องในแต่ละช่วงวัยจนตอนนี้น้องเจาเจาหายเป็นปกติแล้ว แต่เพื่อสุขภาพที่ดีก็ต้องดูแลด้วยการออกกำลังกาย และทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมควบคู่กันเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดโรคข้อเสื่อมเมื่อน้องอายุมากขึ้นค่ะ...”

จากกรณีของน้องเจาเจาจะสังเกตได้ว่า โรคข้อเสื่อมนั้นสามารถเกิดขึ้นกับน้องหมาที่ยังมีอายุน้อยได้เช่นกัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลน้องหมาคือ นอกจากจะต้องเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง เลือกสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับน้องหมาแล้ว การชะลอความเสี่ยงในการเกิดโรคด้วยการให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยดูแลเรื่องข้อก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยน้องหมาได้

โคซีควิน เทสท์ เอชเอ (COSEQUIN TASTE HA) คือผลิตภัณฑ์เสริมโปรตีนเกรดพรีเมี่ยม ที่จะช่วยเสริมสร้างและชะลอการเสื่อมของข้อต่อกระดูกของน้องหมา ที่มีผลการวิจัยรับรองและได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาค่ะ

โคซีควิน เทสท์ เอชเอ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ออกแบบมาเพื่อให้น้องหมาสามารถกินได้ง่าย มีการแต่งกลิ่นให้ดึงดูด ความสนใจน้องหมาได้ดี น่ากินเหมือนขนม แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของน้องหมาอีกด้วย เราสามารถให้น้องหมากิน โคซีควิน เทสท์ เอชเอ ได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป กินเพียงแค่วันละ 1 ครั้งในมื้อใดก็ได้ ติดต่อกันอย่างน้อย 40 วัน และสามารถกินได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลอันตรายต่อร่างกาย โดยขนาดที่ควรกินจะแบ่งตามน้ำหนักดังนี้ค่ะ

สำหรับน้องเจาเจาและน้องสนูปี้นั้นก็สามารถกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโคซีควิน เทสท์ เอชเอ ได้ทั้งคู่เลยนะคะ ปริมาณที่เหมาะสมในการให้ก็ดูจากน้ำหนักของน้องหมาได้เลยค่ะ อย่างน้องเจาเจาหนัก 37 กก. ก็จะต้องกินโคซีควิน เทสท์ เอชเอ วันละ 3 เม็ด ส่วนน้องสนูปี้เป็นน้องหมาสายพันธุ์เล็ก หนัก 8 กก. กินโคซีควิน เทสท์ เอชเอ วันละ 1 เม็ดค่ะ ... วิธีง่าย ๆ แค่นี้เองก็ช่วยชะลอความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อเสื่อมซึ่งเป็นโรคประจำสายพันธุ์ได้แล้ว... ^^

อย่างที่บอกไปในตอนต้นแล้วนะคะว่า โรคในน้องหมาที่เป็นโรคประจำสายพันธุ์นั้นอาจเกิดขึ้นกับน้องหมาได้ตั้งแต่พวกเขายังอายุไม่เยอะ ดังนั้นการเริ่มต้นดูแลน้องหมาตั้งแต่พวกเขายังเล็กด้วยวิธีการที่ถูกต้องจึงถือว่าเป็นวิธีป้องกันและชะลอความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ดีที่สุดค่ะ