มีคำกล่าวหนึ่งในหนังสือ ซีซาร์ เวร์ ของ ซีซาร์มิลาน เจ้าของรายการโทรทัศน์ชื่อดัง Dog Whisperer บอกว่า “ครู ฝึกสุนัขที่ดีที่สุดบนโลกนั่นก็คือตัวสุนัขเอง สูตรบรรลุผลที่ทำได้ง่ายๆเพื่อให้สุนัขมีความสมดุล สุขภาพดี มนุษย์ต้องร่วมออกกำลังกาย การฝึกวินัยและความรักตามลำดับ” เรกิก็เช่นกันค่ะ เราต้องเริ่มต้นจากการสร้างพลังงานที่ดีให้แก่ตัวเราก่อนที่จะมอบให้แก่ น้องหมา ยิ่งเขาสามารถรับรู้และสื่อสารด้วยพลังงานได้อย่างรวดเร็วแล้ว เราจึงต้องเคลียร์ใจและกายของตัวเองให้พร้อม เราอาจจะหลอกคนด้วยกันได้ แต่หลอกน้องหมาไม่ได้นะคะ ^___^
จากบทความก่อนหน้านี้พริกได้แนะนำให้เพื่อนๆชาว Dogilike รู้จักกับเรกิไปบ้างแล้ว มาวันนี้จะเริ่มทำความรู้จักเรกิให้ลึกขึ้นมาอีกนิดเพื่อพัฒนาตัวเรา ให้เข้าใจเรื่องพลังงานและสื่อสารกับน้องหมาได้ดีขึ้น เนื่องจากเรกิ สัมผัสบำบัด เป็นมากกว่าแค่การวางมือสัมผัสร่างกายน้องหมาค่ะ เราจึงต้องใช้ความรักและเมตตา รวมทั้งพลังงานดีๆในตัวเรา เสริมเข้าไปอีกแรงเพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายกายสบายใจ และผ่อนคลาย ซึ่งผลพลอยได้ที่คุ้มค่ามากๆของสัมผัสบำบัดนี้ก็คือช่วยสร้าง ความไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อมสายใยและความผูกพันระหว่างเรากับเขาให้เพิ่มขึ้นค่ะ
เตรียมใจให้พร้อม สร้างพลังงานที่ดีให้น้องหมา
มีบทความหลายชิ้นของ Dogilike ที่เขียนเกี่ยวกับการสื่อสารของสุนัข เพื่อนๆคงพอรู้บ้างแล้วว่า พวกเขาสื่อสารกันด้วยภาษาสากลที่เรียกว่า พลังงาน โดยพลังงานในที่นี้หมายถึง ระดับความสมดุลของอารมณ์ความรู้สึก และความคิดที่มีอยู่ภายในตัวเอง เช่น มีสุนัข 3 ตัวกำลังกินอาหารอยู่สงบเงียบ แต่ทันใดนั้นเอง มีสุนัขต่างถิ่นเดินเข้ามาด่อมๆ มองๆ จะแย่งกิน สุนัขตัวใหม่นี้มีความรู้สึกและเจตนาที่คุกคาม ส่งผลให้สุนัขที่กินอาหารอยู่กันอย่างสงบ รับรู้ถึงความผิดปกติ จึงเปลี่ยนจากสภาวะสงบเป็นหวาดหวั่น ข่มขู่แสดงตนเป็นเจ้าถิ่นในทันที
ซึ่งอันที่จริงแล้วมนุษย์เราก็ใช้ภาษาเดียวกันนี้ในการสื่อสารโดยสัญชาตญาณ เช่นเด็กที่เกิดใหม่ร้องไห้เพื่อสื่อสารกับพ่อแม่ว่าเขาหิว เพราะร่างกายไม่อยู่ในภาวะสมดุลหรือในสภาวะปกติ คือเมื่อหิวเด็กจะหงุดหงิด อารมณ์เสียจึงร้องออกมา แต่พอโตขึ้นมาดูเหมือนว่ามนุษย์จะใช้การสื่อสารด้วยพลังงานน้อยลง ใช้ความคิด เหตุผลในการสื่อสารมากขึ้น รับรู้ และสะกัดกั้นแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกภายในตัวเองมากขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วเราสื่อสารกันด้วยภาษานี้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัวค่ะ สังเกตได้จากเวลาที่เราอยู่ใกล้คนคิดลบต่อเรา ถึงเขาจะแสดงออกด้วยสีหน้าวาจาที่ดี แต่ก็ยังสามารถรับรู้ว่าเขาไม่พอใจเรา นี่แหละค่ะ คือการสื่อสารโดยภาษาพลังงาน หรือที่เรามักชอบพูดถึงการรับรู้พลังงานนี้ว่า "มี Sense" นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เองน้องหมาซึ่งมีระบบความคิดที่ไม่ซับซ้อนเท่าเรา จึงรับพลังงาน ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนและละเอียดอ่อนต่อการรับรู้ จำต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง พลังงานของเราจำเป็นต้องดีอยู่เสมอขณะทำสัมผัสบำบัดให้น้องหมา ถ้า เปรียบว่าตัวเราเป็นแบตเตอรี่สักก้อนที่กำลังจะชาร์จพลังให้น้องหมา ก็ต้องเติมพลังจนเต็มก้อน ที่สำคัญต้องเป็นพลังงานที่ดีมีประสิทธิภาพ คือ สุขุม สงบ สะอาด และเป็นมิตรต่อน้องหมาค่ะ ....... ซึ่งพริกเชื่อว่าเพื่อนๆชาว Dogilike จิตใจดีมีเมตตา แต่ปัญหาในชีวิตที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวันอาจทำให้พลังงานด้านลบของเราเพิ่ม มากขึ้น การทำเรกิสัมผัสบำบัดจำเป็นต้องเคลียร์ความขุ่นเคืองเหล่านั้นออกไปค่ะ เราจึงต้อง ฝึกวิธีเคลียร์ใจเราเพื่อให้เขาได้รับพลังงานดี ดังนี้ค่ะ
สมาธิ
สำหรับการเริ่มต้นเรกิ สมาธิสำคัญที่สุดค่ะ เพราะสมาธิช่วยให้พลังงานของเราสงบลง ผ่อนคลาย ไร้กังวล ขณะสัมผัสน้องหมา ซึ่งความตั้งมั่น ใจจดจ่อ จะช่วยให้เขารับพลังงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพค่ะ ในการทำเรกิหากไม่มีสมาธิก็จะเป็นเพียงแค่วางมือเฉยๆ ไม่มีการส่งผ่านพลังงานแต่อย่างใด ดังนั้นการทำสมาธิ จึงเป็นการดึงพลังธรรมชาติมาใช้ในบำบัดรักษา คล้ายๆ กับการรักษาด้วยหินที่มีการทำกันอย่างแพร่หลาย ก็มีจิตและสมาธิเป็นตัวตั้งค่ะ
ความรัก
ความรักในที่นี่ไม่ได้หมายถึงการแสดงออกโดยการกอดรัดฟัดเหวี่ยง ร้องเรียกพูดคุยกับน้องหมาเสียงสูงอ่อนหวานนะคะ แต่หมายถึงความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสรรพสัตว์ มอบความสบายใจ มั่นคง สงบ อบอุ่น ซึ่งรักรูปแบบนี้ เรียกว่า รักแบบไร้เงื่อนไข (Unconditional Love) ความ รักของสัตว์ทุกชนิดอยู่ในระดับนี้ค่ะ ไม่ว่าเราจะยากดีมีจน รูปลักษณ์เป็นอย่างไร ทำไม่ดีกับเขาขนาดไหน ถ้าเขารักเราแล้ว เขาก็จะรักเช่นนั้นตลอดไป เรกิจะใช้พลังความรักและเมตตาในการรับการเยียวยารักษาและสร้างสมดุลทั้งกาย และใจ โดยมีหลักฐานงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยความรัก กล่าวว่า ความรักเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งรวมไปถึงภูมิคุ้มกันทางใจ ความ หวั่นกลัว หวาดระแวง ต่อชีวิตและโลกที่ไม่มั่นคง ท้ายที่สุดแล้วรักชนะเลิศค่ะ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเริ่มมีการบำบัดรักษาร่างกายและจิตใจโดยใช้ความรัก.......ยาชั้นดีไม่ต้องซื้อหาแต่ก็มีอยู่รอบตัว ^__^
หลัก 5 ข้อของการฝึกเรกิ
ปกติแล้วการทำเรกิจะไม่แนะนำให้ผู้ทำการบำบัด อยู่ในภาวะอารมณ์หรือจิตใจขุ่นมัว หดหู่ ไม่สบายกายทำเรกิให้แก่ผู้อื่นค่ะ เพราะจะทำให้ผู้รับการบำบัดได้รับพลังงานที่ไม่ดีไปด้วย จึงมีหลักหรือกฎ 5 ข้อสำหรับคนเรียนเรกิ เพื่อรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง จิตใจผ่องใส สงบ ไม่ขุ่นมัว ซึ่งเรกิไม่ได้ให้ประโยชน์แค่น้องหมาเท่านั้นนะคะ แต่ยังให้ประโยชน์จากการฝึกเรกิให้แก่เพื่อนๆด้วย
1. วันนี้.... จะไม่โกรธ
มาข้อแรกก็ทำยากแล้วใช่ไหมคะ ปกติแล้วเวลาแต่ละคนโกรธก็จะมีวิธีการจัดการ กับความโกรธต่างๆกันไป สำหรับพริกเอง พริกจะหายใจเข้าออกช้าๆ อยู่คนเดียวสักพัก หาอะไรที่สบายใจทำ ที่สำคัญต้องไม่ปล่อยให้ความคิดเหนี่ยวนำไปเรื่องที่กำลังโกรธอยู่ แต่ถ้าไม่โกรธได้จะดีมากค่ะ เพราะการไม่โกรธเป็นสิ่งที่จำเป็นการสร้างขุมพลังงานที่ดีให้กับตัวเราค่ะ นอกจากจะไม่โกรธแล้วต้องหัดให้อภัย เพื่อเปลี่ยนพลังงานด้านลบเป็นด้านบวก ทิ้งความโกรธ เพื่อให้เรามีความสงบสุขภายในตนเอง เพราะถ้าเราโกรธอยู่ แล้วทำสัมผัสน้องหมา เขาก็จะได้รับพลังงานลบนั้นๆไปด้วย ...... ขอย้ำนะคะว่า การทำสัมผัสบำบัด ตัวเราคือช่องทางสำหรับมอบพลังงานดีๆให้กับสุนัข ดังนั้นใจเราต้องสงบจริงๆค่ะ
2. วันนี้.... จะไม่กังวล
ยากกว่าข้อแรกอีกใช่ไหมคะ ชีวิตเรามีหลายอย่างที่ต้องกังวล จะไม่ใช้กังวลคงเป็นไปได้ยาก จึงต้องฝึกฝนค่ะเพ่งดูและรู้เท่าทันความกังวล พริกใช้วิธีการอยู่กับปัจจุบัน ต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่คิดเรื่องที่ผ่านมาในอดีต หรือคาดหวัง หวั่นกลัวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งต้นขั้วความกังวลทั้งหลาย ก็มาจากความกลัว ศัตรูตัวฉกาจของความรักค่ะ มันจะทำให้เราไม่สามารถเชื่อมต่อกับทั้งกับน้องหมาและกับพลังงานดีๆได้ ยิ่งถ้าระหว่างทำการบำบัดอาจมีความกังวลเข้ามา ว่าน้องหมารับพลังงานได้ไหมนะ เขาจะอาการดีขึ้นไหม จะสบายใจไหม ต้องรีบสลัดออกแล้วกับมาอยู่กับน้องหมาตรงหน้าเราให้เร็วที่สุดค่ะ ไม่เช่นนั้น เขาก็จะรับความกังวลของเราไปแบบเต็มๆ
3. วันนี้.... จะขอบคุณสิ่งดีๆสำหรับวันนี้
ข้อนี้ง่ายขึ้นมาหน่อยค่ะ เพียงแค่กล่าวขอบคุณสิ่งต่างๆที่เข้ามาให้ชีวิตของเราไม่ว่าจะร้ายหรือดี ถือว่าเป็นช่วงเวลาในการแผ่เมตตาและความรัก มีงานวิจัยเกี่ยวกับการกล่าวขอบคุณ ของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น เมโทดิสต์และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวไว้ว่าผู้ที่รู้สึกขอบคุณต่อชีวิตในแต่ละวันของตน จะมีระดับความกระตือรือร้น มีพลังงาน และการมองโลกในแง่ดีที่สูง พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งนี้ยังสามารถลดระดับความหดหู่ ความเครียด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากกว่าคนที่ไม่รู้สึกขอบคุณแก่ผู้คน หรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตค่ะ
4. วันนี้...จะทำงานอย่างซื่อสัตย์
การทำงานในที่นี้หมายถึงการซื่อสัตย์ จริงใจกับความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง ไม่ตัดสินผู้อื่นค่ะ อย่าง เช่นเวลาที่พริกโกรธหรือไม่พอใจใคร อันดับแรกต้องรู้ว่าโกรธอยู่นะ ไม่ปิดกั้น ว่าการโกรธแปลว่าเป็นนางมารร้าย เป็นนางเอกได้ต้องห้ามโกรธค่ะ จากนั้นก็มาดูว่าโกรธเพราะอะไรควรมองอย่างเป็นกลางนะคะ พริกต้องใช้พยายามอย่างสูงที่จะไม่หาข้อแก้ตัวให้ตัวเองว่าเป็นคนถูกหรือ สมควรโกรธ (ธรรมชาติแล้วทุกคนมักจะเข้าข้างตัวเองค่ะ) แต่ถ้าเราทำผิดจริงต้องยอมรับ ไม่มองว่าเราหรือเขาผิดหรือถูก ซึ่งหากเราก้าวข้ามอคติต่างๆไปได้ ก็สามารถเข้าสู่ขุมพลังงานดีๆได้ค่ะ
5. วันนี้...จะมีเมตตาต่อสรรพชีวิต
มีเมตตาให้กับตนเอง และผู้อื่น ทั้งใจ คำพูดและการกระทำ ไม่ถือโทษโกรธเคืองคนหรือสถานกาณ์ที่ทำให้เราเสียใจ พริกรู้ว่าทำยากมาก แต่บางครั้งเราก็ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองเพื่อเปิดใจและทำความเข้าใจกับสิ่ง ที่เกิดขึ้น อย่างเช่น มีสุนัขวิ่งมากัดเรา แทนที่เราจะหาไม้ไล่ตีเอาคืนตั้งต้นทั้งดอก เราอาจปรับความคิดว่าที่เขากัดอาจเป็นเพราะ การดูแลที่ไม่ดีพอจึงทำให้ก้าวร้าว หรือเคยถูกคนทำร้ายมาก่อน แล้วหันมาระมัดระวังไม่ให้ตัวเองเข้าใกล้สุนัขตัวนั้นแทน ความ เมตตานี้สำคัญมากๆค่ะสำหรับการรักษาน้องหมา เขาจะได้รับพลังงานที่อ่อนโยน สงบ และยังช่วยให้เรารักและเมตตาตัวเองมากขึ้นได้ด้วยค่ะ
เตรียมมือให้พร้อม สร้างสัมผัสให้น้องหมา
สุนัขชอบให้สัมผัสด้วยมืออยู่แล้วค่ะ เพียงวางมือลงบนร่างกายของพวกเขาก็รู้สึกดี แต่พริกมีเคล็ดไม่ลับอยู่นิดหน่อย อยากบอกต่อเพื่อนๆ เพื่อให้น้องหมามีความสุขจากการสัมผัสเต็มที่ไม่มีติดขัดค่ะ
1. คิดให้น้อยลง
พยายามอย่าเพ่งความคิด ความคาดหวังไปยังมือที่สัมผัสน้องหมาอยู่นะคะ ให้นึกถึงความรักความปรารถนาดีที่ต้องการส่งให้เขาแทนค่ะ คล้ายๆเวลาเรากอดเพื่อน เราก็ไม่ได้ใส่ใจว่ากอดอย่างไร มือวางตรงไหนถึงจะถูกหรือดี แต่เรากอดเพราะต้องการส่งมอบความรักให้แก่กันค่ะ
2. สัมผัสนิ่ง ๆ ดีที่สุด
ไม่ควรบีบกดหรือเคลื่อนที่ระหว่างทำเรกิมากเกินไป ผ่อนคลายนิ้ว ไม่เกร็ง หรือกังวลเรื่องตำแหน่งการวางมือหรือนิ้วนะคะ ต้องปล่อยให้เป็นธรรมชาติ แล้วให้สังเกตท่าทางและความรู้สึกว่าน้องหมาสบายตัว สบายใจขณะที่ได้รับเรกิหรือไม่ ถ้าเขาสงบนิ่ง หาว หรือล้มตัวลงนอน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีค่ะ....เขากำลังรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว ^___^
สังเกตไหมคะว่าเคล็ดไม่ลับสำหรับการเตรียมมือมีไม่มาก ไม่ยุ่งยากเท่าเตรียมใจใช่ไหมคะ นั่นเพราะว่า “พลังงานที่ดี” คือกุญแจสำคัญของการทำเรกิ สัมผัสบำบัดค่ะ
บทความครั้งต่อไปพริกจะลงลึกถึงจักระซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ภายในตัวน้องหมา ว่าแต่ละจักระเชื่อมโยงอวัยวะใด และส่งผลต่อจิตใจอย่างไร จะได้รักษาดูแลเขาอย่างถูกจุด ถูกตำแหน่ง รวมทั้งสาธิตการวางมือเบื้องต้น ให้เพื่อนๆ นำไปปรับใช้ได้ฟรีสไตล์ พลาดไม่ได้เด็ดขาดนะค่ะ
บทความโดย : Dogilike.com
ข้อมูลอ้างอิง:
http://www.scribd.com/doc/185284/The-Power-of-Love-
3-Time-Magazine-Articles
http://www.psychologytoday.com/articles/200212/
the-power-love
http://www.dogforum.com/general-dog-discussion/how-dogs-understand
-love-3418/
http://www.petplace.com/dogs/can-dogs-sense-our-emotions/page1.aspx
http://www.nytimes.com/books/first/m/masson-dogs.html
Reiki for Dogs written by Kathleen Prasad
เรกิ พลังธรรมชาติ เขียนโดย ธอม ราดเซียนดะ
ซีซาร์ เวย์ เขียนโดย ซีซาร์ มิลลาน
ภาพประกอบ:
http://dailyimagebuzz.blogspot.com/2011/03/dog-meditation-images.html
http://www.weddingbee.com/2010/01/07/love-at-
the-ranch-thank-you-cards/?comment-page=1
http://what-buddha-said.net/drops/V/Goodwill_is_Genuine.htm
http://www.sciencebuzz.org/buzz_tags/dogs
http://adambeardsleyhealing.com/animal-reiki/
http://gorlestonreiki.blogspot.com/
http://www.houstonpettalk.com/featured/reiki-workshop
-at-mollys-mutt-house-puts-health-in-your-hands/
http://www.boardingkennels.org/details/kennels.php?recordID=7059
http://weheartit.com/DUMBLR
http://www.flickr.com/photos/ginnyle/galleries/72157627872832664/
http://www.flixya.com/photo/2133199/dog-worry
|
SHARES