สด ใหม่ ฉับไว ข่าวหมาทุกเช้า ทุกวัน Dailydog กับปังปอนด์แสนซน ... คนรักน้องหมาที่พร้อมเสิร์ฟข่าวสด ข่าวร้อน เกาะกระแสโลกทุกเช้าก่อนใครเลยจ้า><"

      เรื่องการ “ดมกลิ่น” ต้องยกให้กับน้องหมา ... จมูกของน้องหมาสามารถรับกลิ่นได้มากกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า มุนษย์จึงนำน้องหมามาฝึกเพื่อช่วยในราชการ เหมือนกับข่าวน้องหมาเช้านี้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเค้าฝึกน้องหมาให้ดมกลิ่นตรวจจับสัตว์ป่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เราไปดูกันค่ะ
 

 
     Butter, Lancer, Locket และ Viper สุนัข  4 ตัว สายพันธุ์รีทรีฟเวอร์เหล่านี้ เป็นสุนัขที่ จบหลักสูตรการฝึกอบรมการดมกลิ่นเป็นเวลา 13 สัปดาห์ จากศูนย์ฝึกอบรม Agriculture National Detector Dog Training Center ในมลรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกมันจะได้รับภารกิจสำคัญในการดมกลิ่นหาสิ่งผิดปกติ เช่น ยาเสพติด ระเบิด ผักและผลไม้ ซากสัตว์ และสัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ ฯลฯ ที่ถูกลักลอบนำเข้าประเทศ โดยสุนัขทั้งหมดจะถูกส่งตัวไปยังสนามบินสำคัญๆ ทั่วสหรัฐฯ ...
 

      สุนัขทั้ง 4 ตัว จะถูกส่งไปยังสนามบินหลักในพื้นที่ต่างๆ ทั่วสหรัฐ เพื่อทำหน้าที่ดมกลิ่นหาสิ่งแปลกปลอมที่ผิดกฏหมาย ซึ่งสุนัขเหล่านี้จะช่วยลดจำนวนการส่งออก และนำเข้าสัตว์ป่าผิดกฏหมายที่ล้นทะลักเข้าประเทศในแต่ละปีได้เป็นจำนวนมาก
 

     “ในปีที่ผ่านมามีการลักลอบนำเข้าสัตว์ป่าคุ้มครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสัตว์ที่ตรวจพบบางชนิดก็เกือบเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว รวมถึงยังตรวจพบนอแรด และงาช้างถูกนำเข้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นหมายความว่ามีแรด และช้างถูกล่าเพื่อนำนอมาขายเป็นจำนวนมากเช่นกัน” Ed Grace รองหัวหน้า Fish and Wildlife Service's Office of Law Enforcement กล่าว
 

 
     “การใช้สุนัขดมกลิ่นเป็นการต่อสู้ และความยามเพื่อหยุดยั้งการลักลอบนำเข้าสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดเวลา และแม่นยำ ซึ่งสุนัขดมกลิ่นเหล่านี้สามารถตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมได้ทุกที ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ถูกส่งมาทางเครื่องบิน รถไฟ หรือแม้กระทั่งการขนส่งทางทะเล” Amir Lawal เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัตว์ป่า กล่าว
 

     น้องหมาแต่ละตัวจะถูกส่งไปยังสนามบินสำคัญๆ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อตรวจหา และป้องกันการลักลอบนำเข้าสัตว์ป่าคุ้มครอง เท่ห์สุดยอดไปเลยค่ะ ขอให้ทุกภารกิจน้องหมาสำเร็จไปได้ด้วยดี และสามารถลดการนำเข้าสัตว์ป่าคุ้มครองที่ล้นทะลักเข้าประเทศให้ได้เยอะๆ นะคะ ^^”

 

บทความโดย: Dogilike.com
ที่มา:
http://www.theepochtimes.com/
ภาพประกอบ:
http://www.theepochtimes.com/