Dogilike Review วันนี้ขอเอาใจทาสหมาทุกคนด้วยภาพยนตร์ stop-motion animation จากผู้กำกับชาวอเมริกันขวัญใจฮิปสเตอร์  Wes Anderson ที่กลับมาครั้งนี้กับผลงานเรื่อง "ISLE OF DOGS เกาะเซตซีโร่-หมา" ค่ะ

     ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าเนื้อหาต้องสนุกเข้มข้นแน่นอน แต่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าจะดราม่ารึเปล่า จะน้ำตาแตกไหม ออกตัวไว้เลยค่ะว่าหนังเรื่องนี้ดราม่า เนื้อหาเข้มข้น แต่ไม่น้ำตาแตก และจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งสุด ๆ ค่ะ ดังนั้น กดตั๋วแล้วเดินเข้าโรงไปนั่งดูแบบไม่ต้องพกทิชชูไปซับน้ำตาเลยค่ะ คอนเฟิร์ม!!

     เอาล่ะไม่อยากพูดมากแล้วเจ็บคอ ไปดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้น่าดูยังไง และมีมิติอะไรที่น่าสนใจไปกว่าความเป็นแอนิเมชันหมาเรื่องอื่น ๆ

>> เมื่อหมา(ถูกหาว่า)ไม่ปลอดภัยกับคนอีกต่อไป พวกเขาถึงถูกเนรเทศ!! ...

     Isle of Dogs (2018) บอกเล่าเรื่องราวในอนาคต 20 ปีข้างหน้าในประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์เกิดขึ้น ณ เมืองสมมุติที่ชื่อว่าเมืองเมกาซากิ วันดีคืนดีายกเทศมนตรีโคบายาชิ(ที่มาจากตระกูลที่เกลียดหมาแต่บูชาแมว!!) ประกาศต่อหน้าที่ประชุมว่ามีโรคไข้หวัดสุนัขระบาดไปทั่วเมือง น้องหมาทุกตัวกำลังเป็นภัยร้ายต่อทุกคน เขาจึงออกกฎหมายใหม่และอนุมัติให้เนรเทศน้องหมาทุกตัว จากเมืองเมกาซากิไปยังเกาะสำหรับทิ้งขยะขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกล เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดสุนัขที่จะมาติดต่อสู่มนุษย์ โดยน้องหมาตัวแรกที่ถูกส่งไปก็คือ Spots น้องหมาอารักขาของ อาตาริ โคบายาชิ เด็กชายวัย 12 ปี หลานชายในอุปการะของนายกเทศมนตรีนั่นเอง ...

     ถึงแม้ว่านตอนนั้น ศาสตราจารย์วาตานาเบ้ หัวหน้าพรรควิทยาศาสตร์ จะคิดค้นเซรุ่มรักษาสำเร็จและพยายามคัดค้าน แต่ก็ไม่เป็นผล การเนรเทศเหล่าน้องหมาจากทั่วเมืองไปยังเกาะขยะจึงเกิดขึ้น

     และแน่นอนว่าเมื่อน้องหมาที่รักหายไปเด็กชายอาตาริจึงอยู่เฉยไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางด้วยการขับเครื่องบินใบพัดเพียงลำพังเพื่อตามหา Spots และในที่สุดเขาก็เดินทางมามาอย่างทุกลักทุเลจนมาถึงเกาะขยะ หลังฟื้นจากเครื่องบินตก อาตาริก็ได้พบกับกลุ่มสุนัขแก็งมาเฟียประจำเกาะ ประกอบด้วย King อดีตพรีเซนเตอร์อาหารหมาชื่อดัง , Duke ไซบีเรียนผู้มีข่าวลือมาเล่าตลอดเวลา , Boss อดีตสุนัขมาสคอตทีมเบสบอล ,  Rex และ Chief หมาจรจัดแต่กำเนิดที่ไม่เชื่อว่าน้องหมาจำเป็นต้องมีเจ้าของ อาตาริพยายามขอความช่วยเหลือจากเหล่าน้องหมาให้ช่วยตามหาหมาของเขา และก็มีเพียง Chief เท่านั้นที่ไม่อยากจะให้ความช่วยเหลืออาตาริสักเท่าไหร่แต่สุดท้ายก็ต้องตกกระไดพลอยโจรร่วมเดินทางออกตามหา Spots และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่แสนสนุก คาดเดาไม่ได้ แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดประทับใจจนหลายคนคิดไม่ถึงเลยทีเดียวล่ะค่ะ

     เรื่องราวย่อ  ๆ ของภาพยนตร์ stop-motion เรื่องนี้ก็จะประมาณนี้ ... หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะคิดว่า อ๋อ เนื้อเรื่องก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของเด็กที่ผจญภัยตามหาน้องหมา สุดท้ายเจอกัน พากันกลับบ้าน จบปิ๊ง! โนค่ะ บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้หลุดกรอบจากความเป็นแอนิเมชันที่มีความเป็นคอเมดี้ที่อาจจะหลอกให้คนดูหลงคิดไปว่า มีแต่เรื่องตลกขบขันที่พูดเรื่องเบาสมองและผ่อนคลาย แต่เปล่าเลย!! เกินกว่าความสนุก ความน่ารักของตัวละครเด็กชายและน้องหมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพูดถึงประเด็นสังคมต่าง ๆ มากมายอย่างแยบยลจนคาดไม่ถึงเลยล่ะ
 

*** (เนื้อหาหลังจากนี้อาจจะมีสปอยล์เล็กน้อยนะคะ) ***

>> สิ่งเลวร้าย ... เมื่อความเกลียดชังที่ตกอยู่ในมือผู้มีอำนาจทางการปกครอง

     ฉากแรกของ Isle of Dogs เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องย้อนไปในอดีตย้อนกลับไปสิบศตวรรษที่แล้ว เจ้าเมืองเมกาซากิ เป็นคนรักแมวและเกลียดหมา ซึ่งมรดกแห่งความเกลียดชังนี้ก็ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อง ๆ จนมาถึงผู้สืบทอดอำนาจในโลกอนาคตซึ่งอยู่ในวงศ์วานว่านเครือเดียวกัน อันได้แก่นายกเทศมนตรีโคบายาชิ ซึ่งก็ได้บ่มเพาะความเกลียดชังนี้ไปยังผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่เพียงแค่นั้นเขายังใช้อิทธิพลในการเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้ propaganda มาล้างสมองประชาชน เพื่อส่งเสริมแนวความคิดของพรรคตัวเอง ใช้ข้ออ้างเรื่องการแพร่ระบาดของโรคร้ายเป็นเหตุผลในการออกกฎหมายกวาดต้อนหมาทั้งหมด ทั้งจรจัดและมีเจ้าของไปใช้ชีวิตอย่างยากแค้น ณ เกาะที่ชาวเมืองใช้ทิ้งขยะ ถึงแม้ว่าจะมีผู้เสนอทางเลือกอื่น ๆ ในการเยียวยาเพื่อไม่ให้น้องหมาถูกเนรเทศ แต่นายกเทศมนตรีโคบายาชิก็เลือกที่จะใช้วิธี 'ปิดหูปิดตา' ไม่ฟังเสียงใครและดำเนินการขจัดน้องหมาต่อไป โดยอ้างเหตุผลกับประชาชนว่าเป็นการรักษาความสุขสงบปลอดภัยให้กับทุกคน แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างเกิดขึ้นจากอคติของคนเพียงกลุ่มเดียวซึ่งนำไปสู่ความหวาดกลัวและเกลียดชังในสังคม ...

     ประเด็นนี้สะท้อนภาพความจริงของปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้อย่างร้ายกาจเลยทีเดียว เพราะในหลาย ๆ ประเทศที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มผู้มีอำนาจและประชาชน หนึ่งในสาเหตุเกิดจากการต้องการรวบตึงอำนาจ และกำจัดหรือกดข่มผู้ที่มีความคิดแตกต่างให้หมดไปจากสังคม เพื่อการให้การปกครองนั้นเบ็ดเสร็จและเป็นไปอย่างง่ายดาย
 

>> เรื่องหมา ๆ ที่ว่ากันด้วย 'การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์'

     ความโหดร้ายอย่างหนึ่งของ Isle of Dogs ที่ไม่ได้ถูกพูดออกมาโดยตรงแต่ก็นำเสนอให้คนดูให้รับรู้อย่างไม่ปิดบังนั่นก็คือเรื่องของการกำจัดน้องหมาทุกตัวให้สิ้นซาก จะเห็นได้จากฉากที่นายกเทศมนตรีกล่าวชมเชยลูกน้องหน่วยต่าง ๆ ที่ช่วยทำให้ภารกิจกำจัดหมาใกล้ความเป็นจริง ไล่เรียงมาตั้งแต่เรื่องการสร้างข่าวลือโรคระบาด การกำจัดน้องหมาแบบลับ ๆ ไปจนถึงการกวาดล้างพวกที่เห็นต่างกับตนเอง การกระทำอันชั่วร้ายของนายกเทศมนตรีทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์ที่ใช้จัดการกับชาวยิว ซึ่งเป็นเหมือนการแก้ปัญหาการเห็นต่างและการอยู่ร่วมกันของคนต่างเชื้อชาติอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโหดเหี้ยมจนโลกต้องจำ!! ... ความโหดร้ายในข้อนี้ทำเอาคนดูอย่างเราถึงกับจุกกันไปเลยทีเดียว

>> อคติ - ข่าวลือ คือสิ่งที่ทำให้เราทุกคนเจ็บปวด

     ประเด็นที่ชวนให้ครุ่นคิดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของคำพูดปากต่อปาก ข่าวลือ และอคติซึ่งจะนำพาซึ่งความหวาดกลัวและเกลียดชัง ... มีช่วงหนึ่งในภาพยนตร์ได้ที่เกี่ยวกับตัวละครสองตัวที่ได้รับความทรมานกับสภาวะนี้ ตัวละครแรกคือ Nutmeg หมานางโชว์แสนสวยผู้ที่ถูกข่าวลือว่าเธอมีอะไรกับหมาอีกตัวหนึ่งที่ชื่อฟิลิกซ์ ฉากที่เธอบอกกับเจ้า Chief ข่าวลือนั้นไม่ใช่เรื่องจริง อารมณ์ในฉากนี้เหมือนกับที่เรารู้สึกขมขื่นเวลาที่ถูกใครต่อใครพูดถึงเราในแง่ลบทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ตัวละครอีกตัวที่ถูกทำร้ายด้วยข่าวลือ และอคติก็คือเจ้า Gondo น้องหมาลึกลับผู้ซึ่งเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าเป็นหมาดุร้ายโหดเหี้ยมถึงขั้นที่กินเนื้อหมาด้วยกัน แต่พอเรื่องราวทุกอย่างถูกเปิดเผย สิ่งที่ลือกันก็แตกต่างจากความเป็นจริงในระดับหน้ามือกับหลังเท้า แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาถูกสังคมตัดสินไปแล้วว่าเป็นหมาที่ไม่ดี!

>> การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่

     สิ่งที่รู้สึกประทับใจนอกเหนือจากการเสียดสีสังคมอย่างแยบยลของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือนำเอาเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อความยุติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่มาสอดแทรกลงไปได้อย่างมีเสน่ห์ ผ่านตัวละครเด็กหญิงหัวฟูผู้ที่ต้องสูญเสียน้องหมาไปเพราะนโยบายนิยมแมวไม่เอาหมาของนายกเทศมนตรีตัวร้าย เธอคือตัวละครที่กล้าที่จะลุกขึ้นมาทัดทานในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและกล้างัดข้อกับขั้วอำนาจใหญ่ ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างหวาดหวัดและเอนเอียงไปตามข่าวลือที่กลุ่มอำนาจสร้างขึ้น เด็กหญิงเลือกที่จะสืบหาความจริงและกล้าที่จะป่าวประกาศความจริงนั้นให้ประชาชนทุกคนได้รู้สึกความช่วยร้ายที่กลุ่มอำนาจพยายามล้างสมองประชาชนในเมืองทุกคน ซึ่งการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นปรากฏการณ์คล้าย ๆ กันที่เกิดขึ้นทั่วโลก และหลายครั้งที่การต่อสู้ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ทำให้สังคมเกิดแรงกระเพื่อมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ดังเช่นตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้

     อีกประเด็นสำคัญที่เชื่อว่าจะต้องโดนใจคนรักหมาแน่นอนก็คือ  Isle of Dogs เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนจิตใจของสุนัขทั้งจรจัดและมีเจ้าของได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เป็นการตีความจากความคิดของมนุษย์ก็ตาม หลาย ๆ การกระทำของเหล่าน้องหมาในภาพยนตร์ ทำให้ทาสหมาอย่างเราต้องใจละลายแน่ ๆ ค่ะ อย่างเช่น ความสัมพันธ์ของตัวละครเด็กชายอาตาริ และ Chief หมาจรผู้ไม่ศรัทธาในการมีเจ้าของ เราจะได้เห็นพัฒนาการทางความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองไปตลอดทั้งเรื่อง กำแพงความไม่เชื่อมั่นในความรักจากมนุษย์ของ Chief ได้ถูกเด็กชายอิตาริค่อย ๆ ละลายลงด้วยมิตรภาพที่ถูกหยิบยื่นให้อย่างไร้เงื่อนไข เพราะความเชื่อมั่นว่าอย่างไรเสียมากกว่าการเป็นสัตว์เลี้ยงน้องหมาก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์

     สรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า   Isle of Dogs คือภาพยนตร์ที่ทาสหมาไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ ถึงแม้จะเข้าฉายเพียงไม่กี่โรงแต่ตอนนี้ก็ยังฉายอยู่ อ่านรีวิวนี้จบแล้วไม่ต้องคิดอะไรมาก กดตั๋วแล้วเข้าไปดูกันเลยรับรองว่าไม่ผิดหวั่งแน่นอนค่ะ ...

 

บทความโดย: Dogilike.com
http://www.dogilike.com/

ภาพประกอบจาก :
www.facebook.com/IsleofDogsMovieThailand/
www.facebook.com/isleofdogsmovie/
www.isleofdogsmovie.com
fashionindustrybroadcast.com
www.ign.com
www.theringer.com/movies/