1. น้องหมาจะ "เป็นสัด" ปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น

 

           วงจรการเป็นสัดของสุนัข (dog heat cycle) จะเกิดขึ้นทุก 6 ถึง 12 เดือน โดยจะระยะเวลาการเป็นสัดของสุนัข เรียกได้ว่า ยาวมาก ๆ ถ้าเทียบกับคนเรา โดยในรอบการเป็นสัดของสุนัขจะแบ่งออกได้ 4 ระยะ คือ

     1. ระยะก่อนการเป็นสัด (Proestrus) มีระยะเวลา 5-7 วัน ซึ่งจะพบว่า อวัยวะเพศพบการเปลี่ยนแปลง มีสารคัดหลั่งใส ๆ ก่อนที่จะเริ่มเหนียวข้นและขาวขุ่นขึ้น ช่วงนี้น้องหมาจะยังไม่ยอมรับการผสมจากน้องหมาตัวผู้ค่ะ

     2. ระยะเป็นสัด (Estrus) ระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 8-10 วัน พบว่า อวัยวะเพศมีการบวมขยายใหญ่ พบเลือดไหลออกจากช่องคลอด น้องหมาตัวเมียเริ่มยอมรับตัวผู้มากขึ้น เมื่อเข้าสู่ระยะนี้ในวันที่ 4-6 จะพบว่า ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการตกไข่เริ่มทำงาน และไข่จะเริ่มทะยอยตก ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมในการผสมพันธุ์ และเป็นระยะที่ตัวเมียยอมรับการผสมพันธุ์สูงสุด

     3. ระยะหลังการเป็นสัด (Diestrus) กินระยะเวลา 60-100 วัน ระยะนี้อวัยวะเพศบวมน้อยลงและไม่พบการไหลของเลือดออกจากช่องคลอด ไม่ยอมรับตัวผู้

     4. ระยะสัดเงียบ (Anestrus) เป็นช่วงที่สุนัขไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ทั้งลักษณะภายนอกและภายใน
 

2. น้องหมา "เป็นสัด" ได้เร็วกว่าที่คุณคิด

 

    น้องหมาอาจเป็นสัดได้เร็วกว่าที่คุณคิด โดยระยะเวลาที่เร็วที่สุดที่พบคือ ช่วงอายุ 6 เดือน ในอายุเท่านี้จะไม่นิยมผสมพันธุ์ในการเป็นสัดครั้งแรก เพราะสุนัขยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก หากผสมแล้วมีโอกาสที่ลูกสุนัขที่เกิดมาจะไม่แข็งแรง ได้ลูกน้อย และอาจถึงขั้นไม่ดีต่อสุขภาพของแม่สุนัขเองด้วย

3. น้องหมาเป็นสัด ควรให้อยู่ห่างจากน้องหมาตัวผู้ 3-4 สัปดาห์
 

     Nancy Kelso ผู้อำนวยการของ VCA Columbia Animal Hospital ในรัฐแมรีแลนด์ กล่าวว่า "น้องหมาที่กำลังอยู่ในช่วงเป็นสัด ไม่ควรพาออกไปสวนสาธารณะสำหรับสุนัข หรือให้ใช้บริการร้านรับฝากเลี้ยงรายวัน (Dog day care) เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน และให้ควรอยู่ห่างจากสุนัขตัวผู้ในช่วงเวลาที่กำลังเป็นสัด

       ซึ่งโดยทั่วไปแล้วน้องหมาตัวผู้จะสามารถอยู่ร่วมกับน้องหมาตัวเมียได้ปกติ แต่หากมีน้องหมาตัวเมียเป็นสัด อาจจะทำให้น้องหมาตัวผู้เกิดความเครียด กระวนกระวาย ทางที่ดีควรจับน้องหมาตัวเมียแยกเลี้ยงออกจากตัวผู้ โดยอาจจะกั้นบริเวณให้ชัดเจน หรือถ้าเป็นไปได้อาจให้ส่งสุนัขตัวใดตัวหนึ่งไปฝากญาติ หรือเพื่อนเป็นเวลาหนึ่งเดือนจะดีที่สุด"

4. เห็นน้องหมามีเลือดไหลไม่ต้องกังวล

     น้องหมาที่เป็นสัดแต่ละตัวจะใช้เวลา 3 - 4 สัปดาห์ แต่จะมีเลือดไหลออกจากช่องคลอดในช่วง 2 สัปดาห์แรกเท่านั้น ...

     "ช่วงเวลาที่น้องหมาเป็นสัด อวัยวะเพศจะบวมและมีเลือดไหลออกมาและค่อย ๆ ลดลงจนกลายเป็นสีชมพู หรือใส ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการผสมพันธุ์ และต้องได้รับการดูแลจากเจ้าของ อาจจะใช้กางเกงในสำหรับสุนัข หรือผ้าอ้อมอนามัยสำหรับสุนัขใส่ให้น้องหมาเพื่อป้องกันการเปรอะเปื้อน" Nancy Kelso ผู้อำนวยการของ VCA Columbia Animal Hospital ในรัฐแมรีแลนด์ กล่าว

    ซึ่งทางที่ดีควรใส่ผ้าอ้อมอนามัยสำหรับสุนัขจนกว่าเลือดจะหยุดไหล และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมอนามัยสำหรับสุนัขให้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องคอยทำความสะอาดอวัยวะเพศของน้องหมาเพราะในช่วงเป็นสัด อาจจะมีคราบเลือดติดอยู่บริเวณใกล้ ๆ อวัยวะเพศ อาจทำให้มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้

 

5. อย่าลังเลในการทำหมัน

       หากไม่ต้องการให้น้องหมามีลูก ไม่ควรลังเลในการทำหมันน้องหมานะคะ เพราะการทำหมันนอกจากจะสามารถช่วยลดการเพิ่มจำนวนประชากรสุนัขและลดปัญหาสุนัขจรจัดลงแล้ว ยังช่วยให้น้องหมามีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เกิดจากฮอร์โมนเพศ และโรคที่ติดต่อทางการผสมพันธุ์ ได้อีกด้วย

  ในน้องหมาเพศเมียที่พ้นช่วงเป็นสัด มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมดลูกอักเสบเป็นหนอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pyometra ซึ่งหมายถึง โรคที่มีหนองสะสมอยู่ในช่องว่างของมดลูก ซึ่งมักพบได้ในที่ไม่ได้รับการผสมพันธุ์ ช่วงหลังจากที่ผ่านการเป็นสัดไปแล้วประมาณ 4-8 สัปดาห์ ช่วงนี้จะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารคัดหลั่งในมดลูกเพิ่มขึ้น มดลูกในช่วงนี้จะมีการบีบตัวน้อย หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียย้อนจากช่องคลอดเข้าสู่มดลูก จะง่ายต่อการเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ เป็นผลให้มดลูกเกิดการอักเสบ ขยายใหญ่ มีหนองข้นสะสมอยู่ภายใน ถ้าปากมดลูกเปิดก็จะเห็นว่ามีหนองไหลออกมาทางช่องคลอด

       ถ้าหากเจ้าของไม่ได้สังเกตเห็น หรือไม่บางรายก็อาจไม่มีของเหลวไหลออกมา ซึ่งจะเป็นอันตรายกับน้องหมาหากเกิดการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด เกิดภาวะไตวายแทรกซ้อน ขาดน้ำ มดลูกแตก ช็อค และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ทางที่ดีการทำหมันให้น้องหมาจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของต้องพิจารณาเพื่อสุขภาพและอายุที่ยืนยาวของน้องหมานะคะ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำหมันน้องหมา >>  การทำหมันในสุนัข สำคัญไฉน

 

บทความโดย: Dogilike.com
http://www.dogilike.com/


ที่มาและภาพประกอบ :
https://www.dogster.com/