โดย: wasbiabeer

กว่าจะเป็น "สัตวแพทย์กายภาพบำบัด" แรงบันดาลใจในการช่วยหมาป่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง

คุยกับ คุณหมอทิพย์ สัตวแพทย์ด้านกายภาพ ผู้หลงใหลในการบำบัดร่างกายให้น้องหมา อาชีพที่เต็มไปด้วยพลังงานบวก และการมีความหวัง

27 สิงหาคม 2561 · · อ่าน (9,047)
1,032

SHARES


1,032 shares

 

 

Dogilike.com :: กว่าจะเป็น สัตวแพทย์กายภาพบำบัด แรงบันดาลใจในการช่วยหมาป่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง

          การที่น้องหมามีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถวิ่งเล่นร่าเริงได้ นั่นถือเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งของเจ้าของน้องหมาอย่างเรา แต่สำหรับน้องหมาที่เจ็บป่วยจนไม่สามารถเดิน หรือวิ่งเล่นได้ตามปกติ หนทางในการรักษาเยียวยาให้น้องหมากลับมาเคลื่อนไหวร่างกายได้ใกล้เคียงกับปกติที่สุดจึงเป็นเหมือนความหวังของเจ้าของทุกคน ... การกายภาพบำบัดก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยให้ร่างกายน้องหมาได้ฟื้นฟูจากอาการเจ็บป่วยได้ แต่ในการทำกายภาพบำบัดน้องหมานั้นก็มีความซับซ้อนอยู่มากมาย เพราะถ้าหากเป็นคนก็จะสามารถสื่อสารได้ว่าเจ็บปวดตรงไหน แต่สำหรับน้องหมาพวกเขาไม่สามารถบอกได้ ดังนั้นผู้ที่จะทำหน้าที่กายภาพบำบัดให้น้องหมาจึงจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรง

Dogilike.com :: กว่าจะเป็น สัตวแพทย์กายภาพบำบัด แรงบันดาลใจในการช่วยหมาป่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง

          เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ กภ. สพ.ญ. ฤทัยทิพย์ อุปริพุทธิ หรือคุณหมอทิพย์ สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการทำกายภาพบำบัดสัตว์ ซึ่งผันตัวเองจากการเป็นนักกายภาพบำบัด มาเป็นสัตวแพทย์ในด้านการกายภาพสัตว์โดยเฉพาะ ... คุณหมอเล่าให้ฟังว่าในปัจจุบันมีสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดอยู่ค่อนข้างน้อย แต่เมื่อได้พูดคุยกับคุณหมอแล้วนอกจากพลังงานบวกที่คุณหมอส่งมาให้ เราก็พบว่างานด้านนี้มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยล่ะค่ะ


จากนักกายภาพคนสู่งานสัตวแพทย์ด้ายกายภาพสัตว์เลี้ยง


          คุณหมอทิพย์เล่าให้เราฟังว่า เริ่มแรกเลยนั้นคุณหมอเรียนจบจากภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยที่ตัดสินใจเลือกเรียนกายภาพเพราะว่าคุณแม่ป่วยเป็นโรครูมาตอยด์ซึ่งจะต้องทำกายภาพตลอดชีวิต แต่พอเรียนจบและเริ่มทำงานจริง จึงรู้สึกว่างานที่ทำนั้นไม่ตอบโจทย์ จึงตัดสินใจไปเรียนสัตวแพทย์

Dogilike.com :: กว่าจะเป็น สัตวแพทย์กายภาพบำบัด แรงบันดาลใจในการช่วยหมาป่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง
         
          “พอดีมีคุณป้าเป็นสัตวแพทย์ และมีโอกาสได้ไปช่วยงานคุณป้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ หลังจากที่เรียนจบมาแล้วก็ทำงานกายภาพอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าเราอยากทำงานกับหมากับแมวมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นแล้วเป็นเลยนะ อย่างตอนที่จบกายภาพแล้วจะมาต่อสัตวแพทย์ เราก็ผ่านการฝึกงานด้านกายภาพมาก่อน และเราไปที่โรงพยาบาลสัตว์ ไปคลุกคลีอยู่ตรงนั้นช่วงเวลาหนึ่งจนมั่นใจ คือถ้ามันเป็นงานที่ใช่ที่เราอยากทำจริง ๆ มันจะมีความรู้สึกข้างในที่บอกว่าใช่ก็ให้เชื่อความรู้สึกตัวเอง ถ้ามันใช่ก็คือใช่”
         
         คุณหมอทิพย์เล่าต่อว่าหลังจากที่จบสัตวแพทย์ ตอนนั้นยังไม่มีใครทำเรื่องกายภาพบำบัดในสัตว์ เลยเริ่มเห็นช่องทาง เพราะว่าเวลาที่น้องหมาผ่าตัดกระดูกหรือระบบประสาทมีปัญหา จะต้องทำกายภาพซึ่งมีวิธีการอยู่มากมายที่ทำให้น้องหมากลับมาให้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ชอบด้านกายภาพอยู่แล้ว จึงคิดว่าน่าจะนำความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับด้านสัตวแพทย์ได้ และน่าจะสามารถพัฒนาด้านกายภาพบำบัดในน้องหมาให้ดียิ่งขึ้น จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทและทำงานวิจัยด้านกายภาพบำบัดในสัตว์โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


การสื่อสารคือความยากในการทำงานกายภาพสัตว์


          เมื่อถามถึงความยากง่ายในการทำงาน คุณหมอทิพย์ยกตัวอย่างให้เราฟังว่า ถ้าเป็นการเจ็บป่วยในคน ผู้ป่วยก็จะสามารถบอกได้ว่าเจ็บป่วยตรงไหน ต้องกายภาพยังไงถึงจะหาย แต่สำหรับในสัตว์พวกเขาไม่สามารถสื่อสารให้เจ้าของหรือหมอรู้ได้เลยว่าเจ็บปวดตรงไหน นอกจากเจ้าของและหมอต้องสังเกตอาการเท่านั้น
 
Dogilike.com :: กว่าจะเป็น สัตวแพทย์กายภาพบำบัด แรงบันดาลใจในการช่วยหมาป่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง
         
          "มันยากตรงที่เขาสื่อสารไม่ได้ค่ะ ของคนเขาบอกเราได้ว่าเจ็บไหล่เจ็บสะโพกเจ็บมัดไหนันเป็นได้หมดเลยนะ เจ็บตอนไหน มันจะวินิจฉัยง่าย แต่ในของน้องหมาบางทีเขาเจ็บสะโพกหรือขาหลังกะเผลก มันเป็นได้หมดเลยนะ เป็นตรงอุ้งเท้าไหม หรือเป็นตรงข้อเท้า หรือว่าเป็นตรงเข่า สะบ้าเคลื่อนไหมหรือว่าข้อเสื่อม ความยากคือการวินิจฉัยให้ถูกต้องให้มันตรงจุด ถ้าวินิจฉัยตรงแล้วการรักษาต่อมามันก็ง่าย เหมือนมันติดกระดุมเม็ดแรกถูก เม็ดต่อมามันก็ง่าย แต่ถ้าตอนแรกเราหาไม่เจอว่าที่เขาผิดปกติมันเกิดจากอะไร เวลารักษาต่อมามันก็จะออกทะเลเรื่อย ๆ ก็จะใช้เวลานานขึ้น
         
           ในงานกายภาพเลยเรื่องการใช้เครื่องมือไม่ยากนะคะเรื่องแมนนวลการดัดดึงข้อก็จะคล้าย ๆ กันกับคนเลยค่ะ ที่ยากจะเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย มันไม่เหมือนของคน ถ้าเป็นคนบอกให้ยกดัมเบลสิบครั้งงอศอกเก้าสิบองศาแล้วยกขึ้นเขาก็ทำได้ แต่ถ้าอย่างในน้องหมาถ้าเราอยากจะให้ออกกำลังกายกระตุ้นให้ขาหลังแข็งแรง บางทีเขาไม่สามารถทำตามอย่างที่เราอยากให้ทำได้แบบบถูกต้อง อาจจะต้องมีขนมมาล่อ อาจจะต้องมีคนช่วยหลายคน หรือใช้อุปกรณ์เสริม อันนี้มันก็จะเป็นอะไรที่ทำให้การรักษากาายภาพง่ายขึ้น ซึ่งงานตรงนี้มันต้องใช้เวลา"
 

           คุณหมอทิพย์ยังเล่าเสริมอีกว่า การทำงานด้านนี้ต้องใช้พลังงานสูงมากเพราะต้องมีแอคชันตลอดเวลาเป็นงานที่เหนื่อยแต่สนุกเพราะได้ออกกำลังกายตลอดเวลา คุณหมอคนอื่น ๆ อาจจะใส่กระโปรงสวย ๆ มาทำงานได้แต่สำหรับหมอกายภาพต้องกางเกงเท่านั้น แถมกลับบ้านไปกางเกงก็จะเต็มไปด้วยขนหมา 

 

เสน่ห์ของกายภาพบำบัดคือการได้ใช้เวลาร่วมกับสัตว์


         "กายภาพบำบัดมันมีเสน่ห์ของมันนะ มันคือการทำงานที่ได้ใกล้ชิด ได้ใช้เวลาอยู่กับเขา เพราะว่า จะต้องอยู่ด้วยกันนาน ไม่ใช่มาครั้งเดียวแล้วหาย มันจะต่างกับหมออย่างอื่น ถ้าเป็นหมอผ่าตัด เราตรวจเสร็จแล้วก็พาเข้าห้องผ่า ผ่าเสร็จแล้วก็จบ หรือเป็นหมอผิวหนังก็แค่ขูดแผลมาตรวจแล้วก็ให้ยา แต่การทำกายภาพบำบัดเหมือนเราทำงานไปด้วยเล่นไปด้วย น้องหมาแต่ละตัวที่มา เราจะพยายามทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้มาเพื่อการรักษา แต่เป็นการที่เขามาเจอเพื่อน มาเล่น มากินขนม จะไม่มีการบังคับ ถ้าเขาผ่อนคลาย การรักษามันก็จะประสบความสำเร็จ" คุณหมอทิพย์ตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อเราถามถึงเสน่ห์ที่ทำให้คุณหมอหลงรักการทำอาชีพนี้  

         Dogilike.com :: กว่าจะเป็น สัตวแพทย์กายภาพบำบัด แรงบันดาลใจในการช่วยหมาป่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง

          นอกจากนี้คุณหมอทิพย์ยังได้ทำแฟนเพจ "Dog Fit dog fit firm by พี่หมอทิพย์" เพื่อแชร์ความรู้ให้คนทั่วไปอีกด้วย ซึ่งคุณหมอทิพย์มีแรงบันดาลใจที่ว่าคนเราควรจะทำประโยชน์อะไรให้โลกใบนี้บ้างเท่าที่เราสามารถทำได้ เอาความรู้ความสามารถมาทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ถ้าตายไปก็ให้มันเหลือประโยชน์อะไรไว้บนโลกใบนี้ โดยคุณหมอทิพย์หวังอย่างน้อยว่าคนเลี้ยงน้องหมาจะได้รับความรู้ไปดูแลน้องหมาให้ดียิ่งขึ้น

 

อดีตแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ 


           ก่อนจะจบบทสนทนาในวันนี้ เราถามคุณหมอทิพย์เกี่ยวกับการตัดสินใจไม่ทำงานต่อในด้านกายภาพคน แต่เลือกที่เรียนต่อด้านสัตวแพทย์ ซึ่งใครหลายๆคนอาจลังเลใจเพราะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 6 ปี ถึงจะประสบความสำเร็จและได้เริ่มทำงานอีกครั้ง
 
         
           “จะมีคำพูดนึงที่คิดไว้เสมอเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ อดีตเราแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตเรา เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากจะทำอะไร เราเกิดมาเราก็มีชีวิตเดียว ถ้ารู้สึกว่าอยากจะทำอะไร มีแพชชั่นที่อยากจะทำจริงๆ แล้วมันไม่ได้เดือดร้อนใคร มันเกิดประโยชน์ ทำแล้วมีความสุขก็ทำเลย” คุณหมอทิพย์ตอบคำถามสุดท้ายของเราได้อย่างน่าประทับใจ แต่ไม่ลืมที่จะย้ำอีกครั้งว่าต้องใช้เวลาอยู่กับสิ่งนั้นจนมั่นใจก่อน จะได้ไม่ต้องมาเสียดายเวลาทีหลัง


           ในระหว่างการพูดคุยกับคุณหมอทิพย์ เราได้รับพลังงานดี ๆ จากคุณหมอที่มีแพชชันต่อการกายภาพบำบัดและ น้องหมาอย่างมากมาย และเรามีโอกาสได้เห็นคุณหมอทำงานจริง ยิ่งทำให้เราเชื่อถึงความตั้งใจที่คุณหมอมีให้กับการทำอาชีพนี้ ใครที่ยังลังเลหรือเสียดายเวลาที่จะเริ่มทำในสิ่งที่รักก็ลองใช้แนวความคิดของคุณหมอทิพย์ได้ค่ะ แม้จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานแต่ดีกว่าการเสียใจที่ไม่ได้ทำนะคะ


 
บทความโดย: Dogilike.com
http://www.dogilike.com/