เวลาที่เราเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองต่าง ๆ ในต่างประเทศ เราก็มักจะต้องไปยังสถานที่สำคัญอันเป็นแลนด์มาร์ค (Landmark) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่นั้น เพื่อให้รู้ว่ามาถึงสถานที่นั้นแล้ว  เช่นถ้าเราไปกรุงปารีสก็ต้องไปถ่ายรูปที่หอไอเฟล ถ้าเราไปที่สิงคโปร์ก็ต้องไปถ่ายรูปกับรูปปั้นเมอร์ไลอ้อน หรือถ้าเรามาที่กรุงเทพฯ ก็ต้องไปถ่ายรูปที่หน้าพระบรมมหาราชวัง ความจริงแล้วแต่ละเมืองอาจมีสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนั้นๆ หลายแห่ง


     แต่สำหรับคนรักสุนัขแล้ว ก็มีแลนด์มาร์ค (Landmark) สำคัญเช่นกัน เรียกได้ว่าถ้าไปถึงยังเมืองนั้นแล้ว คนรักสุนัขต้องไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมเยือน ส่วนใหญ่จะเป็นรูปปั้นของสุนัขที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือมีวีรกรรมอันสุดแสนประทับใจ จนผู้คนในพื้นที่นั้นถึงกับต้องสร้างอนุสรณ์ไว้ให้เป็นที่รำลึก และต่อไปนี้ก็เป็นแลนด์มาร์ค (Landmark) รูปปั้นของสุนัขสัญลักษณ์สำคัญในแต่ละเมือง ที่คนรักหมาต้องไปเยือนสักครั้งก่อนตาย...

 

 

 

 

 

 

 

     คงไม่มีใครไม่รู้จักสุนัขตัวนี้ ผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสุนัขตัวแรกที่เดินทางสู่ห้วงอวกาศ จากสุนัขเร่รอนเพศเมียที่มีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ได้ถูกนำมารับการฝึกเพื่อการทดลองทางด้านอวกาศ ไลก้าเป็นสุนัขที่เงียบและน่ารัก มันถูกฝึกให้ต้องอยู่ในยานที่แคบ ๆ แคบชนิดที่ว่าไม่สามารถขยับตัวได้ ก่อนจะถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 บนยานสปุตนิก 2  ซึ่งภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจฆ่าตัวตาย เพราะภารกิจครั้งนี้จะไม่มีการนำยานอวกาศกลับลงมา เนื่องจากความรู้ทางด้านอวกาศในยุคนั้นยังน้อยมาก เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น แน่นอนว่าไลก้าเสียชีวิตไม่นานหลังจากที่บินขึ้น จุดจบของไลก้าได้รับการเปิดเผยในอีกหลายปีต่อมาว่า ไลก้าตายภายหลังจากการบินขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ต่อมาในปี ค.ศ. 2008  อนุสาวรีย์ของไลก้าได้รับการเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์วิจัยของกองทัพในกรุงมอสโก ประเทศรัสเชีย อันเป็นสถานที่ในการวางแผนส่งไลก้าขึ้นสู่ห้วงอวกาศนั่นเอง ตัวอนุสาวรีย์เป็นรูปของเจ้าไลก้าขณะยืนอยู่บนจรวดที่มีหัวจรวดคล้ายรูปมือมีนิ้ววางเรียงกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

     ฮาจิโกะเป็นสุนัขที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากความซื่อสัตย์และความกตัญญู และได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์หลายครั้ง เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานีรถไฟชิบุยะกลางกรุงโตเกียว ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1923 ในจังหวัดอากิตะ  ศาสตรจารย์เอซะบุโระ อุเอะโนะ ได้รับสุนัขอายุ  2 เดือนตัวหนึ่งมาเป็นสมาชิกและตั้งชื่อใหม่ให้ว่า ฮาจิโกะ ทุก ๆ วัน ฮาจิโกะจะไปส่งเจ้านายที่สถานีรถไฟเพื่อไปทำงาน และรอรับที่สถานีรถไฟเมื่อถึงเวลากลับบ้าน แต่แล้วในวันที่ 25 พฤษภาคม 1925 เจ้านายของฮาจิโกะได้เสียชีวิตในมหาวิทยาลัยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกอย่างกระทันหัน แต่ฮาจิโกะหมาผู้ซื่อสัตย์ก็ยังมารอที่สถานีรถไฟเช่นเดิม โดยไม่รู้เลยว่า เจ้านายของมันไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว แม้ภรรยาของอาจารย์เจ้าของฮาจิโกะจะพามันไปอยู่บ้านอื่น แต่ทุกครั้งที่หนีออกมาได้ มันจะวิ่งไปรอที่สถานีรถไฟตามเดิม เพื่อรอเจ้านายของมัน จนกระทั่งเจ้าฮาจิโกะตายไปในปี ค.ศ. 1935 มีผู้มาค้นพบมันนอนตายใกล้กับบริเวณที่มันมารอเจ้านายทุกวัน ข่าวความซื่อสัตย์ของฮาจิโกะเป็นเรื่องโด่งดังไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ทุกคนต่างยกย่องฮาจิโกะว่าเป็นสุนัขที่มีความกตัญญู ภายหลังได้มีการสร้างรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ ไว้เป็นอนุสรณ์สัญลักษณ์แห่งการรอคอย ปัจจุบันเป็นจุดนัดหมายที่สำคัญที่ใครผ่านมาย่านนี้ก็จะนัดเจอกันที่นี่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR Shibuya ตรงประตูทางออก Hachiko exit ใกล้กับห้าแยกทางม้าลายที่มีคนเดินข้ามห้าแยกแห่งนี้มากถึงวันละ 450,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งใครผ่านไปมาก็ต้องมาแวะถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นฮาจิโกะจนบางครั้งถึงกับมีการต่อคิวกันยาวเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

     เรื่องราวของสุนัขตัวเล็ก ๆ ที่กลายเป็นตำนาน เมื่อโรคคอตีบระบาดหนักที่เมือง Nome รัฐอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้คนได้บาดเจ็บและล้มตายลงเรื่อย ๆ เพราะไม่มียารักษา ตอนนั้นการขนส่งต่าง ๆ หยุดชะงักเนื่องจากสภาพอากาศอันเลวร้ายอย่างที่สุด เบลโตและกลุ่มน้องหมาลากเลื่อนได้ถูกรับเลือกให้ทำภารกิจเดินทางไปรับยา (เซรุ่ม) ซึ่งยาจะถูกส่งมายังเมือง Nenana ซึ่งเป็นสถานีปลายทางรถไฟ โดยอยู่ห่างจากเมือง Nome หลายร้อยกิโลเมตร จึงต้องส่งคณะเดินทางไปรับยาโดยใช้วิธีการเดินทางด้วยฝูงสุนัขลากเลื่อน พวกเขาใช้เวลาเดินทางถึง 5 วันครึ่ง จึงกลับมาถึงเมือง Nome อย่างปลอดภัยในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 โดยมี Gunnar Kaasen (กันเนอร์ คาเซ็น) เป็นผู้นำเซรุ่มไปถึงเมืองนอมน์เป็นคนแรกในปี และมี  Balto เป็นจ่าฝูงของทีมสุนัขลากเลื่อน เรื่องราวนี้กลายเป็นตำนานและได้รับการเล่าขานต่อกันมา และมีการสร้างรูปปั้นของเบลโต ถูกสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ตั้งไว้กลางสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ใกล้กับ Tisch Childen's zoo เป็นรูปเจ้าเบลโตยืนตระง่านบนแท่งหิน 

 

 

 

 

 

 

 

     เจ้าบ็อบบี้ หรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Greyfriars Bobby เป็นสุนัขพันธุ์ Skye Terrier ที่โด่งดังในเรื่องของความกตัญญูและความซื่อสัตย์ แม้อาจจะไม่คุ้นชื่อในบ้านเราเท่าไร แต่ถ้าถามชาวเมืองเอดินเบอระ ประเทศสกอตแลนด์แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงจะทราบถึงเรื่องราวของมันเป็นอย่างดี สุนัขตัวนี้โด่งดังจากความกตัญญูที่มีต่อเจ้านายของมัน หลังจากที่คุณ John Gray ผู้เป็นเจ้านายได้เสียชีวิตลงด้วยโรควัณโรค ในปี ค.ศ. 1858 ร่างของเขาถูกฝังอยู่ที่ Greyfriars Kirkyard ในเมืองเอดินเบอระ ประเทศสกอตแลนด์  ทุก ๆ วันเจ้าบ็อบบี้จะมาเฝ้าหลุมศพเจ้านายและหาอาหารกินแถว ๆ นั้นเป็นเวลานานถึง 14 ปี จนกระทั่งเจ้า Bobby ตายไปในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1872 โดยร่างของมันได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ฝั่งอยู่ตรงบริเวณด้านในของประตูทางเข้าสุสาน ซึ่งไม่ไกลจากหลุมฝังศพเจ้านานของมันเท่าไร และมีการสร้างรูปปั้นของเจ้าบ็อบบี้เล็ก ๆ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงด้วย โดยตั้งอยู่หน้าร้าน Greyfriars Bobby ที่ตั้งชื่อตามเจ้าบ็อบบี้ ใกล้กับสุสาน Greyfriars Kirkyard ในเมืองเอดินเบอระ ประเทศสกอตแลนด์นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

     หลายคนคงเคยได้ชมภาพยนต์เรื่องเรดด็อก (Red dog) ซึ่งเป็นภาพยนตร์สุดซึ้งที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเหมืองแร่ในเมืองแดมปิแอร์ ทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย เมื่อมีสุนัขตัวหนึ่งเข้ามาในเหมือง มันเดินทางมาไกลเพื่อพบปะกับผู้คนต่าง ๆ และภารกิจอันแสนยากลำบากนี้ ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่อยู่รายรอบ คาดว่าเรดด็อกจะเกิดที่เมือง Paraburdoo ประเทศออสเตรเลีย เรดด็อกเป็นฉายาที่คนต่างเรียกให้กับมัน ที่เรียกจากขนสีน้ำตาลแดงอันเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินแดงติดตัว จริง ๆ แล้วมันมีชื่อหลายชื่อตามแต่คนที่ได้พบเจอจะตั้งให้กับมัน เรดด็อกชื่อชอบการเดินทาง มันเดินทางไปเจอกับเจ้านายหลาย ๆ คน มีหลายคนถูกชะตาและนำมันมาเลี้ยง ถึงแม้จะมีคนชอบเจ้าเรดด็อกมากมาย แต่ก็มีคนไม่ชอบมันเช่นกัน เรดด็อดตายลงด้วยการถูกลอบวางยาพิษ ร่างของมันถูกฝังที่ใดที่หนึ่งในเมือง Roebourne ต่อมามีการสร้างรูปปั้นเจ้าเรดด็อกสุนัขนักเดินทาง ตั้งอยู่ที่เมืองอยู่ที่เมืองแดมปิแอร์ ประเทศออสเตรเลีย

 

 

 

 

 

     และนี่คือแลนมาร์ครูปปั้นสุนัขสำคัญทั่วโลก จะว่าไปในประเทศไทยเราก็มีอยู่หลายสถานที่ที่มีรูปปั้นสุนัขที่เป็นสัญลักษณ์อันมีชื่อเสียง ผมขอยกอนุสาวรีย์ย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงในรัชกาลที่ 6 ที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม มาเล่าแล้วกัน ย่าเหลเป็นชื่อที่ตั้งจากตัวละครเอกในละครฝรั่งเศสชื่อดังเรื่อง "My friend Jarlet" ที่ต้องมาตายจากการถูกยิงข้างกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านวัดโพธิ์ จนในหลวงรัชกาลที่  6 ทรงโทมนัสอย่างยิ่ง โปรดให้สร้างอนุสรณ์ย่าเหล ตั้งไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ที่ใครไปที่นั่นก็ต้องแวะถ่ายรูปและย้อนรำลึกถึงเรื่องราวของสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนฉลาดของรัชกาลที่ 6 นี้ แล้วเพื่อน ๆ เคยไปเยือนที่ไหนมากันแล้วบ้าง มาเล่าสู่กันฟังได้เลยนะครับ

 

รูปภาพประกอบ :