"ยิ่งฉันรู้จักผู้คนมากขึ้น ฉันก็รักสุนัขมากขึ้น" คำกล่าวของฮิตเลอร์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต หลายคนคงจะรู้จักผู้นำจอมเผด็จการอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) คนนี้เป็นอย่างดี แต่พอจะมีใครที่ทราบหรือไม่ว่า เขาเป็นคนที่รักสุนัขมาก และก็มีสุนัขตัวโปรดอยู่ด้วยเหมือนกัน ความจริงแล้วทั้งฮิตเลอร์และภรรยาต่างก็เลี้ยงสุนัขเอาไว้หลายตัว แต่เห็นจะมีก็เพียงแต่เจ้า "บลอนดี (Blondi)" สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดเพศเมียตัวนี้เท่านั้น ที่ฮิตเลอร์รักและโปรดปรานมากที่สุด แต่จุดจบของมันกลับเป็นเรื่องที่ช่างน่าเศร้า ...
ย้อนรอยสุนัขตัวโปรดของ ฮิตเลอร์
บลอนดีไม่ใช่สุนัขตัวแรกของฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเคยรับเลี้ยงสุนัขพันธุ์แจ็ครัสเซลเทอร์เรียเพศผู้ตัวหนึ่งในสนามเพลาะ ขณะกำลังเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยทำหน้าที่เป็นพลทหารส่งสาร เขาตั้งชื่อว่า Fuchsl ซึ่งแปลว่า สุนัขจิ้งจอกตัวน้อย ครั้งหนึ่งเคยมีคนเสนอซื้อเจ้าหมาน้อยในราคา 200 มาร์คเยอรมัน แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่ขาย เขาบอกกันคนที่เสนอซื้อว่า "ถึงคุณเสนอให้เงิน 200,000 มาร์ค คุณก็อย่าหวังจะได้มันไป" แต่โชคร้ายหลังจากกองทัพมีการเคลื่อนพล เขาเกิดพลัดหลงกับเจ้าสุนัขตัวนี้ เขารู้สึกเศร้าใจมากที่สุนัขอันเป็นที่รักหายไป เขาคิดว่ามันอาจถูกคนไม่หวังดีลักพาตัวไป ต่อมาในปี ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ได้รับสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดตัวหนึ่งมาเลี้ยงชื่อว่า Prinz หลังจากที่เลี้ยงไปได้ไม่นาน เขาจำใจต้องยกสุนัขตัวนี้ให้กับบ้านพักพิงสุนัขดูแล เนื่องจากฐานะทางการเงินของเขาไม่สู้ดีนัก แต่สุนัขตัวนั้นก็แอบหนีกลับมาหาเขา มันจึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เขาหลงรักสุนัขพันธุ์นี้ และชื่นชมในความซื่อสัตย์ของสุนัขยิ่งกว่าเดิม
หลาย ๆ เหตุการณ์ในชีวิตทำให้ฮิตเลอร์ไม่ใว้ใจใคร และคิดว่าคงมีแต่สุนัขเท่านั้นที่ซื่อสัตย์ที่สุด เขาเคยถูกลอบสังหารและเชื่อว่าคนใกล้ตัวของเขาอาจมีส่วน ในช่วงที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจ เยอรมันเป็นชาติแรก ๆ ในยุโรปที่มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ กองทัพนาซีเคยก่อตั้งศูนย์วิจัยเกี่ยวกับสุนัขขึ้น เป้าหมายคือ ต้องการฝึกสุนัขให้สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ พัฒนาสุนัขให้มีความฉลาด สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ โดยฮิตเลอร์สั่งให้สร้าง โรงเรียนที่ฝึกสอนสุนัขให้พูดได้ ชื่อว่า Tier-Sprechschule และได้สุนัขตัวหนึ่งชื่อว่า Rolf เป็นสุนัขตัวแรกที่สามารถฝึกให้สื่อสารกับมนุษย์ได้สำเร็จ มันมีความสามารถถึงขั้นใช้เท้าพิมพ์ตัวอักษรเพื่อสื่อสารเป็นข้อความได้
ด้วยความเป็นชาตินิยมที่ฝังลึกในใจเขา ทำให้ฮิตเลอร์หลงไหลในสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดค่อนข้างมาก เขาต้องการให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในเยอรมัน รวมถึงทั่วโลกด้วย ในปี ค.ศ. 1926 เขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดชื่อว่า Muckl ต่อมาในปี ค.ศ. 1930 เขาก็เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเพิร์ดชื่อว่า Blonda และจนมาถึงในปี ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ได้รับสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดเพศเมียตัวหนึ่งเป็นของขวัญ จากหนึ่งในคณะทำงานของเขาที่ชื่อว่า มาร์ติน บอร์มันน์ (Martin Bormann) สุนัขตัวนี้เกิดเมื่อไรและมาจากไหนไม่มีใครทราบ ฮิตเลอร์ตั้งชื่อให้เจ้าหมาน้อยตัวนี้ว่า "บลอนดี (Blondi)"
ความผูกพันของฮิตเลอร์กับเจ้า บลอนดี
นอกจากบลอนดีจะเป็นสุนัขตัวโปรดของฮิตเลอร์แล้ว มันยังถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการโฆษณาภาพลักษณ์ความเป็นคนรักสัตว์ของฮิตเลอร์ด้วย บลอนดีปรากฎตัวในภาพยนต์ส่วนตัวของฮิตเลอร์บ่อยครั้ง มันมักจะอยู่ข้าง ๆ เขาตลอด ทั้งยังทำหน้าที่เป็นผู้อารักขาส่วนตัวด้วย เลขานุการของฮิตเลอร์เคยเล่าถึงเรื่องของฮิตเลอร์กับบลอนดีว่า "เขามักจะชอบเล่นกันบลอนดีเสมอ โดยจะฝึกให้มันกระโดดข้ามห่วง กระโดดข้ามกำแพงไม้" แต่อีวา เบราน์ (Eva Braun) ภรรยาของฮิตเลอร์กลับไม่ค่อยชอบเจ้าบลอนดีมากนัก อีวาไม่ชอบให้บลอนดีนอนร่วมเตียงกับฮิตเลอร์ด้วย แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่สน บางครั้งเธอจะเตะเจ้าบลอนดีที่กำลังนอนอยู่ใต้โต๊ะอาหาร ส่วนอีวามีสุนัขของตัวเองเช่นกัน เป็นสุนัขพันธุ์สก็อตติชเทอร์เรียจำนวน 2 ตัว

ต่อมาในปี ค.ศ. 1945 บลอนดีให้กำเนิดลูกหมา ฮิตเลอร์ตั้งชื่อให้หนึ่งในบรรดาลูก ๆ ของบลอนดีว่า "Wulf" ซึ่งมีความหมายพ้องกับชื่อของเขา Adolf ซึ่งแปลว่า Noble wolf ช่วงนั้นสถานการณ์ของสงครามไม่สู้ดีนัก และฮิตเลอร์ก็ต้องย้ายลงไปอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน เพราะกองทัพแดงเริ่มบุกมาประชิดกรุงเบอร์ลินเต็มที มีคนเล่าว่า ช่วงนี้ฮิตเลอร์เหมือนคนเสียสติ บ้างก็ว่าเป็นซากศพเดินได้ เขาดูค่อนข้างไร้วิญญาณ และมีสุขภาพทรุดโทรมไปมาก คงจะมีแต่เพียงเจ้าบลอนดีที่ช่วยให้ฮิตเลอร์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ฮิตเลอร์ เคยพูดว่า "มีแต่อีวา เบราน์ กับเจ้าบลอนดี้ สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดที่เลี้ยงไว้เท่านั้นที่ซื่อสัตย์"
ช่วง 7 วันสุดท้ายของชีวิตฮิตเลอร์ สถานการณ์ต่าง ๆ ยิ่งย้ำแย่ มีแต่ข่าวร้ายเข้ามา กองทัพพันธมิตรทั้งโซเวียต สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส กำลังบุกประชิดเข้ามาทุกทิศทาง ฮิตเลอร์ได้แต่หลบอยู่ในบังเกอร์ของท่านผู้นำ (Führerbunker) ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดินประมาณ 15 เมตร ภายในแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ หลายห้อง หนึ่งในนั้นเป็นซอกแคบ ๆ ที่เรียกกันว่า บังเกอร์หมา เป็นที่พักองครักษ์ส่วนตัวของฮิตเลอร์
จนกระทั่งมาถึงวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1945 เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างไม่อาจฟื้นกลับมาได้แล้ว ฮิตเลอร์ตัดสินใจว่าเขาจะฆ่าตัวตาย เขาจะไม่ยอมถูกศัตรูจับได้ให้เป็นที่น่าอับอายเด็ดขาด เขาจึงเริ่มต้นเขียนพินัยกรรมของตัวเอง เขาแต่งตั้งมาร์ติน บอร์มันน์ คนที่นำเจ้าบลอนดีมามอบให้ เป็นผู้จัดการมรดกและรับอำนาจในการตัดสินใจหลังจากเขาและภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว บ่ายของวันนั้นเอง เขาปรึกษากับแพทย์คนหนึ่งซึ่งถูกเรียกตัวเข้ามาหาในบังเกอร์ใต้ดินเป็นการส่วนตัว ถึงวิธีการตายฆ่าตัวตาย แพทย์แนะนำเรื่องการใช้ยาพิษไซยาไนต์ แต่เขาเองกลับไม่มั่นใจถึงประสิทธิภาพของยาพิษนี้ จึงตัดสินใจที่จะทดลองกับเจ้าบลอนดีสุนัขตัวโปรด
วาะระสุดท้ายของ บลอนดี
เจ้าบลอนดีก็คงไม่รู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มันและลูกสุนัขรวมถึงเพื่อนสุนัขตัวอื่น ๆ ทั้งสุนัขพันธุ์ดัชชุนที่ฮิตเลอร์เลี้ยงไว้ รวมถึงสุนัขพันธุ์สก็อตติชเทอร์เรียของอีวา เบราส์กำลังจะต้องตาย การฆ่าตัวเองตายก็นับเป็นเรื่องที่แย่มากพอแล้ว แต่การยัดเยียดความตายให้ผู้อื่น โดยเฉพาะบรรดาสุนัขที่ดูไม่ต่างกับเด็กไร้เดียงสา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก ฮิตเลอร์เรียกเจ้าบลอนดีเข้ามาหา มันเดินเข้ามาหาอย่างเช่นเคย ทันใดนั้นบลอนดีถูกจับกรอกยาพิษไซยาไนต์โดยที่ไม่อาจขัดขืนได้ ไม่ช้ามันก็แน่นิ่งลงไปไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว หัวใจแทบจะหยุดเต้นในทันที ลมหายใจสุดท้ายของบลอนดี มันตอบแทนเจ้านายอันเป็นที่รัก ด้วยการเป็นสัตว์ทดลองยาให้กับเขา และจากลาโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ
ฮิตเลอร์ได้เห็นประสิทธิภาพของยาพิษดังกล่าวกับตาแล้ว หลังจากนั้นอีก 2 วัน ฮิตเลอร์และอีวาก็ทำบัตวินิบาตกรรมในห้องส่วนตัว ฮิตเลอร์ยิงตัวเองตาย โซฟาชุ่มไปด้วยเลือดของเขา ส่วนอีวาก็นอนสิ้นลมหายใจอยู่ข้าง ๆ จากพิษของไซยาไนต์ที่เธอกลืนลงไป ร่างของพวกเขาได้ถูกทหารนำขึ้นมาเผาทำลายด้วยน้ำมันนอกบังเกอร์ ภายหลังจากทหารโซเวียตบุกมาถึง เขาพบศพมากมายในบังเกอร์และบริเวณโดยรอบ แต่ไม่ใครสามารถยืนยันได้ว่าศพไหนเป็นร่างของฮิตเลอร์ การตายของฮิตเลอร์ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน ทิ้งไว้แต่ความสูญเสียและคราบน้ำตาของผู้คนนับล้าน ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสงครามของเขา
บทความโดย : Dogilike.com
www.dogilike.com
เนื้อหาอ้างอิงบางส่วนจาก :
https://www.mcsweeneys.net/articles/heel-hitler
รูปภาพประกอบบางส่วน :
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcRSDjkJ60M51pHRAM0B79lBfz3467luUiukN58kUziUWC8eikLl
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcS4k_OGV_n1CUoW92gaA2l9DfNX51QWeTouMXY99myV3V9KZ6r1
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcQb389kszt7zumMVjX6gboG4MgCEnGBNtVM1cYWC-Awtl3XnflD
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcQurr0oUCc5rpVj_wLtaNiDhc-_K9BSb8_FmjcEV5yPWJptWRMK
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcSzPZ_5noBRneDCTOTjkB0Ka34TvHElu0aF6NhPEFK7_NOVjRvN
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcTwkmOyJ3Owmd0LiKhBK9iZcVH3LBB2x2l16-_yCRQIFxsnzfXu
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn%3AANd9GcRnc71ygKmLewAvkx-MqI_2cYMIlRJXfYOkeSq4x_mrSsCzLqwU
SHARES