โดย: Tonvet
ลำไส้อักเสบติดต่อ โรคร้ายใกล้ตัวสุนัข
มาไขข้อข้องใจกับโรคลำไส้อับเสบติดต่อ โรคร้ายที่หลายคนอยากรู้กันเถอะ
16 พฤษภาคม 2555 · · อ่าน (459,313)
ถ้าจะพูดถึง ... โรคที่เป็นอันตรายกับลูกสุนัขทั่วโลก โรคที่ทำให้ลูกสุนัขต้องอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดอย่างรุนแรง โรคที่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอะไร 80% ของลูกสุนัขที่ป่วย จะตายภายใน 4-5 วัน หนึ่งในนั้นคงต้องมีชื่อของ “โรคลำไส้อักเสบติดต่อ (Canine Parvovirus)” แน่นอน เหตุใดโรคนี้ถึงสร้างความน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ ร่วมกันหาคำตอบไปพร้อมๆ กันกับ มุมหมอหมา ในวันนี้ครับ
โรคนี้มาจากไหน ? โรคลำไส้อักเสบติดต่อ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Canine Parvovirus type 2 (CPV-2) โดยผ่านทางอุจจาระและอาเจียน เข้าสู่ปากโดยการกินเชื้อไวรัสเข้าไป หรืออาจติดได้จากสูดดมเข้าสู่ทางเดินหายใจก็ได้ มีรายงานว่าตัวอ่อนในท้องสามารถติดเชื้อได้จากแม่ผ่านทางรกได้ด้วย เชื้อนี้มีความทนทานมาก สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานมากกว่า 5 เดือนเลยทีเดียว น้องหมาตัวใหม่อาจติดเชื้อนี้ได้ จากน้องหมาตัวเก่าที่ตายด้วยโรคนี้ ผ่านทางเชื้อที่ยังคงอยู่ในสิ่งแวดล้อม ภาชนะ ของเล่น กรง ที่นอน และอุปกรณ์ต่างๆ
ใครเสี่ยง ? อันที่จริงโรคนี้พบได้ในน้องหมาทุกเพศ ทุกพันธุ์ และทุกวัย แต่จากการศึกษาพบว่า น้องหมาที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากที่สุด คือ
- ลูกหมาอายุ 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน สำหรับน้องหมาที่โตแล้ว อาจจะติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ เพราะมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนหรือจากธรรมชาติแล้ว แต่อาจกลายเป็นตัวแพร่เชื้อไปสู่ลูกหมาได้ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานว่าเชื้อ CPV-2 ติดคนหรือไม่
จะสังเกตอาการอย่างไร ? น้องหมาจะแสดงอาการป่วยภายใน 3-10 วันหลังจากได้รับเชื้อ ส่วนใหญ่อาการจะเริ่มจากซึม เบื่ออาหาร อาจมีไข้ ตามมาด้วยอาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำสีดำ (melena) ไปจนถ่ายเป็นเลือด มีกลิ่นคาว (กลิ่นของเลือดที่หมักหมมในอุจาระ) ร่างกายจะสูญเสียน้ำ อิเล็กโทรไลด์ และพลาสม่าโปรตีนไปมาก อาจทำให้ช็อก และเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ผนังลำไส้ที่ถูกทำลาย จะทำให้น้องหมาเจ็บปวดท้อง ร้องคราง ตัวงอและสั่น เจ็บเมื่อแตะและสัมผัสตัว ลูกหมาที่อายุน้อยกว่า 3 เดือนอาจมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจร่วมด้วย
ทราบได้อย่างไรว่าเป็น ? การวินิจฉัยนอกจากคุณหมอจะดูจากประวัติ การตรวจร่างกาย และตรวจเลือดแล้ว สิ่งที่ใช้ยืนยันได้ดี คือ การตรวจแอนติเจนจากอุจจาระด้วยวิธี ELISA โดยใช้ Test kit CPV วิธีนี้มีข้อดี คือ ความไวในการตรวจค่อนข้างสูง ใช้เวลาทราบผลไม่เกิน 15 นาที แต่มีความจำเพาะต่ำ เพราะไม่สามารถแยกเชื้อทีเกิดจากการทำวัคซีนและที่ได้รับจากธรรมชาติได้ เพราะฉะนั้น เจ้าของควรแจ้งคุณหมอเรื่องวันที่ได้ทำวัคซีนด้วย หากน้องหมาแสดงอาการป่วยหลังจากฉีดวัคซีนไปไม่เกิน 12 วัน ในทางตรงกันข้าม บางทีน้องหมาอาจจะป่วยจริงๆ แต่อาจตรวจไม่พบ เนื่องจากคุณหมอเก็บตัวอย่างอุจจาระที่มีเชื้อมาน้อยเกินไป หรือตรวจในช่วงที่มีเชื้อในอุจจาระน้อย จึงตรวจไม่พบเชื้อ (ช่วงที่มีเชื้อในอุจจาระมากที่สุดคือช่วง 4-7 วันหลังจากติดเชื้อ)
เป็นแล้วต้องทำอย่างไร ? แน่นอนต้องรักษา เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาอัตราการตายจะสูงถึง 91 % เลยทีเดียว การรักษาจะเป็นไปในลักษณะการประคับประคอง (Supportive treatment) เพราะยังไม่มียาฆ่าไวรัสโดยตรง หลักการ คือ ต้องได้รับสารน้ำเพื่อชดเชยน้ำและอิเล็กโทรไลด์ที่เสียไปจากการอาเจียนและท้องเสีย น้ำตาลเด็กโตรสเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำตาล (Hypoglycemia) ซึ่งพบได้ง่ายในลูกสุนัข ยาฆ่าเชื้อ ยาระงับอาเจียน และยาลดกรด-เคลือบกระเพาะ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการรักษาทางเลือกอีกมากมาย ที่เป็นไปในลักษณะของการกระตุ้นหรือเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับการักษาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
- การป้อน Beta-Glucan ขนาด 0.6 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง มีการทดลองนำยา Oseltamivir (Tamiflu™) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 มาใช้ โดยใช้ป้อนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน เพื่อลดความสามารถในการผ่านของเชื้อไวรัสเข้าสู่ crypt cells ของลำไส้เล็ก และลดการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียในทางเดินอาหาร ไม่ให้สร้าง endotoxin มากขึ้น แต่ยานี้ก็ไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง และมีผลข้างเคียง คือ คลื่นไส้และอาเจียน
รอดหรือไม่ ? ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ปริมาณเชื้อที่รับเข้าไป สภาพร่างกายของน้องหมาแต่ละตัว ระดับภูมิคุ้มกันของร่ายกายที่มีอยู่ ลูกหมาที่ป่วยโอกาสรอดชีวิตจะน้อยกว่าน้องหมาโต คุณหมอจะติดตามดูอาการเป็นรายวันต่อวัน น้องหมาอาจต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 3-7 วันหรือมากกว่านั้น พยากรณ์โรคลำไส้อักเสบติดต่อ (Canine Parvovirus) ในลูกสุนัขจะอยู่ในระดับแย่ถึงแย่ที่สุด (Poor to Grave) หากลูกหมาตัวไหนป่วย เจ้าของอาจต้องเผื่อใจไว้บ้าง อย่างไรก็ดีการดูแลอย่างใกล้ชิดจะทำให้อัตราการตายลดลงเหลือเพียง 4-48 %
ทำอย่างไรไม่ให้เป็น ? มีหลักปฏิบัติ 9 ประการ เพื่อกำจัดโรคลำไส้อักเสบติดต่อให้อยู่หมัด ดังนี้ครับ
1. น้องหมาควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์สมวัย และได้รับการถ่ายพยาธิ
อันที่จริงยังมีเชื้ออีก 2 เชื้อ คือ Coronavirus และ Rotavirus ที่ทำให้น้องหมาเป็นโรคลำไส้อักเสบติดต่อได้เช่นกัน แต่เชื้อเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตถ้าได้รับการรักษาได้ทันท่วงที อาการจะคล้ายๆ กัน แนวทางการรักษาก็ไม่ต่างกันครับ \ ถึงตรงนี้เพื่อนๆ คงจะรู้ถึงพิษสงของโรคร้ายที่น่ากลัวโรคนี้กันมากขึ้นแล้วนะครับ โรคลำไส้อักเสบติดต่อ แม้จะติดง่าย ป่วยง่ายและหายยาก แต่หากคิดจะป้องกันทำได้ไม่ยากเลยครับ ลองนำหลักปฏิบัติที่ มุมหมอหมา แนะนำไปลองใช้ดู แล้วกลับมาติดตามอ่านบทความน่ารู้คู่สุขภาพน้องหมาได้ใหม่นะครับ
บทความโดย: หมอต้น Dogilike.com
รูปภาพประกอบ:
รูปภาพที่ 2 โดย Dogilike.com |
SHARES