โดยทั่วไปสุนัขที่มีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีปัญหาทางช่องปากให้เห็น แต่จะมีเจ้าของสักกี่คนครับ ที่หมั่นแปรงฟันในสุนัขหรือคอยเปิดช่องปากเพื่อสำรวจความผิดปกติให้สุนัขเป็นประจำ ปัญหาช่องปากจึงเป็นเรื่องที่เจ้าของส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไป มาสังเกตอีกทีก็พบว่าน้องหมาไม่สามารถกินอาหารได้เสียแล้ว  วันนี้ ด็อกไอไลค์ (Dogilike) เลยมาขอรณรงค์ให้เพื่อน ๆ มาหมั่นสังเกตความผิดปกติในช่องปากสุนัขกันครับ ว่ามีความผิดปกติอะไรบ้างที่ต้องรีบพาน้องหมาไปหาหมอ (ฟัน) กันได้แล้ว

 

 

 

 

 

     ปกติเราจะเห็นว่าฟันของสุนัขนั้นจะมีสีขาว แต่หากเราสังเกตว่าสีฟันนั้นเปลี่ยนไป อาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกความผิดปกติได้ครับ เช่น สีจากคราบหินปูน ก็จะเห็นเป็นสีเหลืองไปจนถึงสีน้ำตาล หรือสีจากคราบเลือด ก็จะเห็นเป็นสีแดงหรือสีเขียวจากการสลายของเม็ดเลือดแดง เหล่านี้จะมาเคลือบไว้ที่ชั้นเคลือบฟัน แต่บางรายก็มีสีฟันเปลี่ยนจากในส่วนของเนื้อฟันหรือชั้นเคลือบฟันจากความผิดปกติในโรคต่าง ๆ  เช่น ได้รับยากลุ่มเตตราไซคริน จนทำให้สีชั้นเคลือบฟันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ได้รับฟลูโอไรต์นานเกินไปจนเกิดการตกกระของฟัน สีฟันเปลี่ยนจากโรคทางพันธุกรรมหรือมีการติดเชื้อสู่รากฟันจากตัวฟันโปร่งแสงมากกว่าปกติ ซึงหากเราสังเกตเห็นความผิดปกติเช่นนี้ ก็ควรต้องพาไปพบคุณหมอครับ เพราะอาจต้องทำการตรวจโดยละเอียด เช่น ใช้ไฟส่องตรวจ เอ็กเซเรย์ซี่ฟัน หรือวางยาสลบเพื่อใช้เครื่องมือทางทันตกรรมทำการตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียดต่อไป

 

 

 

 

 

 

     กลิ่นปาก เป็นสิ่งบ่งชี้สำคัญหนึ่งของสุขภาพสุนัข แบคทีเรียที่สะสมและหมักหมมอยู่ในช่องปาก อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปากดังกล่าวได้ เพราะแบคทีเรียทำให้เกิดสารประกอบซัลเฟอร์ที่ระเหยได้ ที่สำคัญยังสามารถแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด แล้วก่อให้เกิดความผิดปกติที่อวัยวะอื่น ๆ ตามมาได้ กลิ่นปากอาจเกิดจากสิ่งที่กินเข้าไป เช่น กินอาหารที่มีกลิ่นคาว กินอาหารที่มีความสกปรก หรือเกิดจากพยาธิภาพของร่างกาย เช่น ปัญหาในช่องปากเอง เวลาที่มีเศษอาหารไปติดตามซอกฟัน  มีแผลในช่องปาก มีเลือดออกในช่องปาก มีการอักเสบ มีเนื้องอกหรือตุ่มหนองในช่องปาก ล้วนสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ นอกจากนี้โรคตามระบบอื่น ๆ ก็อาจทำให้น้องหมามีกลิ่นปากที่ผิดปกติตามมาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคไต โรคเบาหวาน ฯลฯ ซึ่งเราสามารถทำการตรวจเลือด และตรวจปัสสาวะเพิ่มเติม เพื่อแยกความผิดปกติดังกล่าวได้  

 

 

 

 

 

 

     ในสุนัขบางพันธุ์หรือสุนัขบางตัวอาจมีน้ำลายยืดได้ปกติ แต่สำหรับสุนัขที่ไม่เคยมีน้ำลายไหลย้อยมาก่อน แต่กลับมีออกมาให้เห็น นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติได้ครับ สุนัขที่มีน้ำลายไหลอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ตกอยู่ในภาวะเครียด วิตกกังวล อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนเกินไป หรืออาจเกิดจากความผิดปกติบางอย่างก็ได้ เช่น มีปัญหาเส้นประสาทใบหน้าเป็นอัมพาต มีเนื้องอกในช่องปาก เหงือกอักเสบรุนแรง มีคราบหินปูนเยอะมาก เป็นโรคทางระบบในร่างกายต่าง ๆ (โรคตับ โรคไต ฯลฯ) มีการติดเชื้อเข้าระบบประสาท หรือแม้แต่การได้รับสารพิษทางอย่างเข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด เช่น ถ้ามีเนื้องอกในช่องปาก ก็ต้องทำการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก หรือถ้ามีคราบหินปูนและเหงือกอักเสบ ฟันหัก ฟันโยก ก็ต้องทำการขูดหินปูนและถอนฟันให้ครับ

 

 

 

 

 

     เหงือกอักเสบเป็นหนึ่งในสาเหตุเริ่มต้นของโรคทางปริทนต์ เจ้าของจะเห็นว่าน้องหมาที่เป็นจะมี เหงือกบวมแดง โดยเฉพาะบริเวณที่ขอบเหงือก ทางรายมีเลือดไหลออกมาด้วย ส่วนมากเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียที่มากระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จากนั้นก็เกิดการสลายของคอลลาเจนที่เนื้อเยื่อเหงือก บางรายกินลึกลงไป เกิดเหงือกร่น มีฟันโยก และฟันหลุดตามมาในที่สุด สุนัขอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีกลิ่นปากหรือมีน้ำลายไหลยืด เจ็บปากจนไม่สามารถเคี้ยวหรือกินอาหารได้ตามปกติ 

 

 

 

     การป้องกันความผิดปกติในช่องปากควรเริ่มตั้งแต่แรกรับน้องหมามาเลี้ยงดูเลยครับ เราต้องค่อย ๆ ฝึกแปรงฟันในน้องหมาจนกว่าเขาจะคุ้นชิน และต้องทำต่อไปอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามปกติแล้วเราควรพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพทุก ๆ 6 เดือน ซึ่งนอกจากจะตรวจสุขภาพทั่วไปแล้ว ก็จะต้องทำการตรวจสุขภาพช่องปากด้วย โดยทั่วไปคุณหมอมักจะแนะนำให้ทำการขูดหินปูนให้กับสุนัข ซึ่งเป็นการป้องกันโรคในช่องปากที่จะตามมาได้ด้วยครับ

 

บทความโดย หมอต้น ด็อกไอไลค์

น.สพ.ธีรภาพ มุสิกานนท์

www.dogilike.com

http://family.dogilike.com/tonvet/

 

 

 

รูปภาพประกอบ:

http://www.dogtips.co/wp-content/uploads/2011/05/doberman2.jpg

http://i44.tinypic.com/293ylgo.jpg

http://dogsaholic.com/wp-content/uploads/2015/03/Bad-mouth-breath-810x569.jpg

http://i.enkivillage.com/ves94onOvBTRf4Wo2gT4-bzvUXY=//images/2014/11/4485292f1ee1dec1593a01d6688ab392.jpg

http://strongdogz.com/wp-content/uploads/2009/11/dental-grade-3.gif