โดย: Tonvet
วัคซีนพิษสุนัขบ้ารูปแบบกิน ช่วยป้องกันโรคในสุนัขได้จริงหรือ ?
มาดูแนวคิดการนำวัคซีนป้องกันโรคเรบีส์ (พิษสุนัขบ้า) ในรูปแบบกินมาใช้ ปัจจุบันมีการศึกษาไปถึงไหนกันแล้ว
13 มิถุนายน 2562 · · อ่าน (8,680)
- แนวคิดการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคเรบีส์ (พิษสุนัขบ้า) ในรูปแบบกิน เป็นรูปแบบที่หวังจะนำมาใช้กับสุนัขกลุ่มที่เข้าถึงวัคซีนได้ยาก เพื่อให้สุนัขที่มีจำนวนมาก ๆ ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งในต่างประเทศมีการใช้อย่างแพร่หลายอยู่แล้วในสัตว์ป่า
- มีการศึกษาถึงเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้วัคซีนในรูปแบบกิน รวมทั้งต้องคำนึงถึงชนิดของอาหาร (เหยื่อ) ที่จะนำมาใช้ร่วมกับวัคซีน เพื่อสำหรับหลอกล่อสุนัขให้มากินวัคซีนด้วย พบว่าสุนัขแต่ละประเทศมีความชื่นชอบเหยื่อที่แตกต่างกันไป
- ทั้งนี้มีข้อกังวลด้วยว่า มนุษย์อาจจะสัมผัสกับน้ำลายของสุนัขที่ได้รับวัคซีน จึงมีการตรวจสอบการเพิ่มจำนวนของไวรัสที่อยู่ในน้ำลายด้วย เพราะสุนัขอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่าสัตว์ป่า
- ปัจจุบันวิธีการป้องกันโรคเรบีส์ในสุนัขของประเทศไทย ยังคงใช้วิธีการแบบฉีดปีละครั้งเป็นหลัก เพราะได้ผลดี ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพที่สุด

โรคเรบีส์ (Rabies) หรือโรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่มีความสำคัญมากทางสาธารณสุข เพราะติดต่อมาสู่คนได้ เป็นโรคที่สามารถพบได้ทั่วโลกและมีรายงานว่าในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคเรบีส์เฉลี่ยปีละ 50,000-60,000 คน ส่วนมากอยู่ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งคนที่ติดเชื้อเหล่านี้กว่า 99% จะติดต่อผ่านทางน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ และสัตว์ที่เป็นตัวการนำโรคมาสู่คนมากที่สุดก็คือ "สุนัข"
ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีมาตราการในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคเรบีส์เป็นอย่างดี ประชากรสุนัขส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคเรบีส์ได้อย่างทั่วถึง แต่สำหรับในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่ยังไม่พัฒนา จะพบการระบาดของโรคนี้อยู่ทุกปี เพราะประชาชนขาดความตระหนักในการพาสุนัขไปรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรค และมีประชากรสุนัขกลุ่มที่เข้าถึงวัคซีนได้ยาก ส่วนมากก็เป็นประเทศที่มีปัญหาสุนัขจรจัดซึ่งมีจำนวนมาก และบางส่วนก็ไม่สามารถจับมารับวัคซีนในรูปแบบฉีดได้ ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคในประเทศเหล่านี้ค่อนข้างต่ำ ครั้นจะไปวิ่งไล่จับสุนัขแต่ละตัวมาฉีดวัคซีนให้ครบก็เป็นไปได้ยาก เพราะสุนัขมีจำนวนมากอาจจะหลายพันหลายหมื่นตัวในบางพื้นที่
แนวคิดการนำวัคซีนป้องกันโรคเรบีส์ผ่านทาง "การกิน" ในสุนัขจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง ซึ่งมีการใช้ในสัตว์ป่ากันอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อให้สุนัขเข้าถึงวัคซีนได้โดยง่ายและครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสุนัขในประเทศที่แถบเอเชียและแอฟริกา ตามที่องค์การอนามัยโลกระบุไว้ว่า สุนัขอย่างน้อย 70% ของประชากรทั้งหมด จะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคเรบีส์ จึงจะสามารถยับยั้งวงจรการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาวัคซีนป้องกันเรบีส์รูปแบบการกินในสุนัข
การพัฒนาวัคซีนแบบกินในสุนัข (Oral vaccine for dogs) มีการคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพเป็นหลัก เพราะหลายฝ่ายยังมีข้อกังวลในหลาย ๆ เรื่อง หากจะนำมาใช้กับสุนัขที่อาศัยปะปนกับผู้คนในชุมชนเดียวกัน แม้กระทั้งชนิดของอาหารที่จะนำมาใช้กับวัคซีนเพื่อให้สุนัขกิน รวมถึงระยะเวลาการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ทั้งในห้องปฏิบัติการและภาคสนามก็ต้องมีการตรวจสอบเป็นไปตามแนวทางสากล เพื่อให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน
มีปัจจัยจำนวนมากที่ถูกหยิบยกมาพิจารณา เช่น ความอร่อยและความน่าดึงดูดใจในชนิดของอาหารหรือ "เหยื่อ" ที่จะนำมาใช้ร่วมกับวัคซีน เพื่อสำหรับหลอกล่อให้สุนัขมากินวัคซีน เพราะในแต่ละพื้นที่นั้นจะได้ผลไม่เหมือนกัน ในประเทศตูนีเชียและกัวเตมาลา ถ้าใช้หัวไก่มาผสมวัคซีนจะประสบความสำเร็จ แต่สุนัขในตุรกีนั้น การใช้หัวไก่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะสุนัขจรจัดที่นี่มักจะได้รับอาหารเป็นเศษอาหารเหลือจากโต๊ะ ส่วนในฟิลิปินส์ผู้คนต่างกังวลว่า ถ้าใช้หัวไก่มาเป็นเหยื่อล่อ อาจไปกระตุ้นสุนัขบางตัวให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป อาจทำร้ายไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระได้
มาดูว่าศึกษากันไปถึงไหนแล้ว
ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจศึกษาถึงประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคเรบีส์รูปแบบกินจำนวนมาก ทั้งในห้องปฏิบัติการและในภาคสนามที่มีหน่วยงานควบคุมอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความกังวลว่า มนุษย์อาจจะสัมผัสกับน้ำลายของสุนัขที่ได้รับวัคซีน จึงมีการตรวจการเพิ่มจำนวนของไวรัสที่อยู่ในน้ำลายของสุนัข มีการใช้แบบจำลองของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ V-RG (vaccinia-rabies-glycoprotein), SAD (Street-Alabama-Dufferin) Bern, SAG2 (SAD Avirulent Gif) และ SPBNGAS-GAS พบว่า ให้ผลบวก (positive) ต่อการเพิ่มจำนวนหลายครั้ง แต่ไวรัสสายพันธุ์ SAD B19 ไม่ได้ให้ผลบวกสำหรับการเพิ่มจำนวนในน้ำลาย ส่วนเรื่องของความรุนแรงของเชื้อ ก็มีการตรวจสอบในเรื่องที่ว่า เชื้อในน้ำลายจะกลับมาแสดงความรุนแรงได้อีกครั้งหรือไม่ ก็ไม่พบการกลับมาแสดงความรุนแรงอีกในสายพันธุ์ SAG2, V-RG หรือ SAD B19
ในส่วนของสุนัขนั้น ก็มีการตรวจวัดแอนติพอดีชนิด Neutralize antibody หลังจากที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว ซึ่งแอนติบอดี้นี้มีผลต่อการป้องกันการติดเชื้อนั้นอีกในอนาคต อันเป็นการบ่งชี้ว่า สุนัขที่ได้รับวัคซีนไปแล้วจะสามารถป้องกันโรคได้หรือไม่ พบว่าเมื่อใช้ไวรัสสายพันธุ์ SAG2 กับสุนัขทดลองหรือสุนัขพันธุ์พื้นเมืองในอินเดียและตูนีเซียจะมีระยะการป้องกันไปจนถึง 6 เดือนหลังการที่กินเข้าไป (วัคซีนนี้ได้รับการจดทะเบียนเพื่อใช้ป้องกันโรคเรบีส์ในอินเดียเมื่อปี ค.ศ.2006) และไวรัสสายพันธุ์ CAV-2-E3Δ-RGP กระตุ้นให้เกิดการป้องกันอย่างสมบูรณ์ในระยะเวลา 15 สัปดาห์ หลังจากการได้รับวัคซีนทางปากในสุนัขพันธุ์พื้นเมืองของจีน
นอกจากนี้ยังประเมินไปถึงเหยื่อที่นำมาผสมกับวัคซีนเพื่อใช้หลอกล่อให้สุนัขกิน โดยควรต้องเป็นวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำและหาได้ง่าย ที่สำคัญต้องถูกปากสุนัขด้วย โดยจากการศึกษาพบว่า เหยื่อหัวไก่สามารถใช้ได้ดีกับสุนัขในตูนีเซียและกัวเตมาลา เหยื่อลูกชิ้น (köfte) ใช้ได้ดีในตุรกี เหยื่อลำไส้หมูที่ปรุงสุกใช้ดีมากในประเทศฟิลิปปินส์ และเหยื่อลำไส้วัวปรุงสุกก็ใช้ดีในสหรัฐอเมริกา
ก็นับว่าวัคซีนป้องกันโรคเรบีส์รูปแบบกินเป็นเครื่องมือ (ใหม่) ที่จะได้นำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดโรคเรบีส์สำหรับสุนัข แต่ก็ยังมีข้อกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยอยู่ เพราะมีความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะไปสัมผัสน้ำลายสุนัขที่ได้รับวัคซีน สุนัขนั้นอยู่ในชุมชนเดียวกับมนุษย์แตกต่างกับในสัตว์ป่าซึ่งอยู่ตามธรรมชาติ จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน วัคซีนรูปแบบกินจากไวรัสสายพันธุ์ SAG2 ได้รับการยอมรับเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย แต่จะถูกนำมาใช้อย่างจริงจังหรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไปครับ แต่ทุกวันนี้วิธีการป้องกันโรคเรบีส์ในสุนัขของประเทศไทยยังใช้รูปแบบการฉีดเป็นหลักเท่านั้น สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันเรบีส์ในรูปแบบกิน ผมมีข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก มาฝากครับ
ข้อมูลอ้างอิงบางส่วน:
SHARES